วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระอุปคุตหรือพระบัวเข็ม



′พระอุปคุต′ เป็นรูปเคารพที่สร้างขึ้นแทนพระอรหันต์สาวกสำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับการยกย่องว่า มีความเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์สมัยหลังพุทธกาล คำว่า ′พระอุปคุต′ เป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตจะเขียนว่า ′อุปคุปต์′ หมายความว่า ผู้คุ้มครองมั่นคง
นอกจากนี้ยังมีการเรียกขานกันว่า พระอุปคุตเถระ หรือพระเถรอุปคุต อันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงความมั่นคงในพระธรรมวินัย และชื่ออื่นๆ อีก เช่น พระนาคอุปคุต พระกีสนาค อุปคุต เป็นต้น

พระอุปคุตเถระ เป็นที่เคารพนับถือของ ชาวพม่า รามัญ เป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างรูปบูชาขึ้นมา โดยจะเห็นได้ว่าพระบูชาพระอุปคุตที่เป็นศิลปะแบบพม่านั้นมีอยู่มากมาย   สำหรับชาวล้านนาจะรู้จักพระอุปคุตในนามของ ′ผู้ปกป้องคุ้มครองภัย′ โดยเฉพาะมีปอยหลวงหรืองานพิธีกรรม จะมีการอาราธนาพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำมาคุ้มครองการจัดงานให้ลุล่วงด้วยดี ในบางท้องถิ่นยังเชื่อว่า พระอุปคุตจะตะแหลง (แปลงร่าง) เป็น ′สามเณรน้อย′ ขึ้นมาบิณฑบาตใน วันเป็งปุ๊ด หรือเพ็ญพุธ (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ) เริ่มตั้งแต่ตีหนึ่งของวันพุธ ผู้คนจึงมักเห็นสามเณรน้อยเดิน บิณฑบาตไปตามถนนหนทาง ตลอดจนท่าน้ำต่างๆ จนกระทั่ง ตี๋นฟ้ายก หรือแสงเงินแสงทองออกมา จึงเนรมิตกายหายไป

" เชื่อกันว่าหากผู้ใดมีบุญบารมีได้ใส่บาตรพระอุปคุตจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง ปราศจากภัยทั้งปวง มีสมาธิจิตดี มีชีวิตที่ป็นสุข"

จากความเชื่อและการนับถือดังกล่าวจึงมีผู้สร้าง ′พระอุปคุต′ ในปางต่างๆ ที่เป็นที่นิยมกันมากได้แก่ ปางล้วงบาตร หมายถึง กิ๋นบ่เสี้ยง หรือกินไม่หมด ให้คุณทางทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ปางห้ามมาร ให้คุณในทางคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ และ ปางสมาธิ หรือพระบัวเข็ม ซึ่งให้คุณในด้านสติปัญญาดี จิตใจผ่องใส ดำเนินชีวิตเป็นสุข ด้วยปัญญาบารมี

ในขณะที่สยามประเทศเชื่อเรื่องการบูชาแม่น้ำคงคาและพระแม่คงคา ตลอดจนประเพณีการจองเปรียง หรือตำนานของนางพระยากาเผือก อันเป็นการผสมผสานระหว่างคติฮินดูกับพุทธศาสนานั้น ชาวมอญกลับมีความเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงผูกพันอยู่กับพระอุปคุตเถระ ซึ่งเป็นพระมหาเถระซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ ปรากฏเรื่องราวในพุทธศาสนาตอนหนึ่งว่า "พระอุปคุปต์บำเพ็ญธรรมอยู่กลางมหานทีอันกว้างใหญ่ในโลหะปราสาท เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทรงโปรดฯให้กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 3 แต่มีพญามารเข้ามาก่อกวนมณฑลพิธี จนต้องอาราธนาพระอุปคุปต์มาปราบ ด้วยการเนรมิตซากสุนัขเน่าเหม็นห้อยติดคอพญามาร และทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้หลุดได้ จนพญามารต้องยอมศิโรราบ ทำให้การสังคายนาพระไตรปิฎกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี"

ธรรมเนียมการบูชาพระอุปคุปต์แพร่หลายในหมู่ชาวพม่า มีการสร้างรูปบูชาพระอุปคุปต์ใน ลักษณาการพระพุทธรูปไม้นั่งอยู่กลางน้ำ บนพระเศียรคลุมด้วยใบบัว และตามร่างกายมีเข็มปักติดอยู่ทั่วพระวรกาย ที่รู้จักกันแพร่หลายว่า ′พระ บัวเข็ม′ นอกจากนี้ ชนชาติเขมรยังรับคติความเชื่อเรื่องพระอุปคุปต์มาจำลองเป็นเทวประติมา กรรม ขนาดเล็ก ทำด้วยสัมฤทธิ์ เป็นรูปองค์พระนั่งอยู่ในเปลือกหอยลักษณะต่างๆ และเมื่อจะจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ก็มักจะมีพิธีอธิษฐานบูชาพระอุปคุต เป็นเบื้องต้น เพื่อให้ช่วยคุ้ม ครองให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

รูปลักษณะของพระอุปคุตที่เป็นรูปเคารพโดยทั่วไป มักทำเป็นรูปองค์พระนั่งอยู่ภายในหอยสังข์ มีขนาดศีรษะค่อนข้างใหญ่ เน้นส่วนคิ้ว ตา จมูกให้เห็นชัดเจน และเนื่องจากที่อาศัยจำพรรษาของพระอุปคุตอยู่ในปราสาทแก้วกลางมหาสมุทร จึงมักทำ ′รูปสัตว์น้ำ′ เป็นสัญลักษณ์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ

วิธีการตั้งบูชาพระอุปคุต หรือพระบัวเข็ม จะตั้งต่ำกว่าพระพุทธ เนื่องจากเป็นพระอรหันต์สาวก และนิยมการตั้งบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ เป็นการจำลองว่าท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร แล้วใช้ดอกมะลิลอยในน้ำบูชา

เรื่องราวของพระบัวเข็มตามพระพุทธประวัติ ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เทศนาโปรดนาคชื่อ อปลาละ   โปรดช่างปั้นหม้อ หญิงจัณฑาล และนางโคบาลแล้ว  เสด็จสู่เมืองมถุรา ณ ที่นั้น  ได้มีพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า…

“ดูก่อนอานนท์ ณ นครมถุรานี้ อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว
จะมีคนขายน้ำหอมชื่อ คุปตะ เขาจะมีลูกชื่อ อุปคุต   ซึ่งจะได้เป็นอนุพุทธ ท่านผู้นี้จะทำงานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป   เทศนาของท่านผู้นี้จะช่วยให้ภิกษุเป็นอันมาก   เอาชนะกิเลสมารได้ จนเข้าถึงอรหันตผล พระอรหันต์จะมีมาก
จนมีปริมาณเต็มถ้ำ ซึ่งยาว ๑๘ ศอก กว้าง ๑๒ ศอก  แต่ละรูปจะถือไม้ศาลากายาว ๔ นิ้ว   อานนท์นอกไปจากนี้แล้ว พระอุปคุตรูปนี้ จะเป็น ‘เอตทัคคะ’  ในบรรดาธรรมถึกทั้งหลายของเรา”

“พระอุปคุต” จึงเป็นพระอรหันต์องค์สำคัญหลังสมัยพุทธกาล  ท่านบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ  สำเร็จอภิญญาต่างๆ เป็น ‘พระธรรมกถึก’ คือ ผู้กล่าวสอนธรรม คือ ผู้แสดงธรรมหรือนักเทศน์   การเทศนาแสดงธรรมของท่าน แม้ในวันเดียวกันก็ทำให้พระภิกษุจำนวน ๑๘,๐๐๐ รูป   ได้บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพเช่นเดียวกัน

ตามตำราและคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ผู้สำเร็จธรรม กล่าวว่า พระอุปคุต ท่านมีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย  เนรมิตเรือนแก้วขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล)  เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่  ท่านจะออกจากสมาบัติ ขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์  เฉพาะในวันเพ็ญพุธ (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ)   แล้วจะลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วในท้องทะเลหลวงเช่นเดิม   ดังนั้น เมื่อวันเพ็ญพุธมาถึง ชาวบ้านจึงมักตื่นกลางดึก เพื่อเตรียมอาหารไว้ใส่บาตรพระอุปคุต
จนเกิดประเพณี ‘ตักบาตรเที่ยงคืน’  โดยมีคติความเชื่อว่า  หากผู้ใดได้ทำบุญตักบาตรพระอุปคุตแล้ว จะได้อานิสงส์มากล้น เกิดโชคลาภ และความเป็นสิริมงคลในชีวิตอย่างประมาณมิได้  


การบูชา“พระอุปคุต” เพื่อความสำเร็จในชีวิต และความร่ำรวย
(เขียน โดย ธ. ธรรมรักษ์)
 “ผู้ใด ได้ใส่บาตรให้แก่ “พระอุปคุต” หรือบูชาท่านอย่างสม่ำเสมอ ก็จะพบกับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว” การบูชา “พระอุปคุต” เพื่อความสำเร็จในชีวิต และความร่ำรวย เพราะความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีการตักบาตรและการบูชา ซึ่งเป็นความเชื่อมายาวนานว่า “เป็นบุญใหญ่” จะทำให้พบกับความสำเร็จและความร่ำรวยนั้นจึงเป็นเสมือนเคล็ดลับ ชนิดที่พลิกชีวิตได้เพียงแค่ข้ามวัน เลยทีเดียว! หลายท่านคงสงสัยว่า พระอุปคุต ท่านคือใคร หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จัก หรือไม่เข้าใจ ว่าทำไมเมื่อตักบาตรแด่ท่าน หรือบูชาท่านจึงจะพบกับความสำเร็จและร่ำรวย  จึงขอนำตำนานของท่านมาให้พิจารณากัน ตามความเชื่อในทางพุทธศาสนา ต่างศรัทธาต่อพิธีการทำบุญวันพระใหญ่ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำซึ่งตรงกับวันพุธ อันจะมีสิ่งมหัศจรรย์บังเกิด นั่นก็คือ พระอุปคุต ท่านออกมาบิณฑบาตโปรดสัตว์ หลังจากบำเพ็ญธรรมเข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข ณ โลกใต้สมุทร ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ ในค่ำคืนนั้น ท่านจะจำแลงแปลงกายเป็นเณร ออกจากสมาบัติ ขึ้นมาบิณฑบาตบนโลกมนุษย์โปรดสัตว์ผู้ทุกข์ยาก จึงนำมาซึ่งความเชื่อในเรื่องนี้จนเกิดเป็นประเพณี “ตักบาตรเที่ยงคืน” อันเป็นพิธีที่ถือปฏิบัติมาหลายร้อยปี ตามวัดต่างๆ  ทั่วประเทศและในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ดังเช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย ในวันเวลาดังกล่าว จะมีผู้คนจำนวนหลายพันคนจะมารวมตัวกันที่วัดอุปคุต เริ่มจากบริเวณสองข้างถนนเชิงสะพานนวรัตน์ ไล่ไปเป็นแถวยาวเหยียด เพื่อที่จะทำการตักบาตรพระหลายพันรูปซึ่งนิมนต์มาจากท้องที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่อเข้าสู่วันใหม่คือเวลา 00.00 น. ก็จะถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ ผู้ศรัทธาในเนื้อนาบุญนับพันจะร่วมกันตักบาตรโดยพร้อมเพียงกัน สร้างความอิ่มอกอิ่มใจเพราะชื่อว่า การตักบาตรในค่ำคืนกับพระสงฆ์ที่สมมติว่า เป็นพระอุปคุตนี้ หากใครได้ตักบาตรและอธิษฐานขอพรสิ่งใดไว้ ก็จะสำเร็จผลได้ง่ายว่าการอธิษฐานในเวลาปรกติ ในอดีตกาลนั้น กล่าวกันว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถใส่บาตรแด่พระอุปคุตได้นั้น จึงต้องเป็นผู้ที่กระทำกรรมดีมามากมาย หรือเป็นผู้ทุกข์ทนและร้อนใจ ซึ่งพระอุปคุตต้องการโปรดสัตว์ โดยในปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า นี่เป็นการใช้ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนา จูงใจให้ผู้คนทำทานโดยใช้ความศรัทธาในการใส่บาตรพระอุปคุตเป็นที่ตั้ง แต่ความจริงแล้ว แม้ไม่ใช่เป็นการใส่บาตรแด่พระอุปคุต แต่เป็นการใส่บาตรธรรมดาที่ปฏิบัติได้ในทุกเช้าตรู่ รวมถึงทำทานทั่วๆ ไป ก็ทำให้อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ลดน้อยถอดถอยลงไป เพราะนี่คือ การทำบุญ กระทำกรรมดี เพื่ออุทิศบุญกุศล แด่มีพระคุณที่ล่วงลับ และเพื่อนำอานิสงส์บุญนั้นไปขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร  ยิ่งเสริมด้วยพลังบุญเพื่อเดินบันไดขั้นที่สองแห่งการรักษาศีล และสู่บันไดขั้นที่สาม คือ เจริญภาวนา ก็จะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตนำไปสู่ความประสบความสำเร็จได้ทุกประการ ด้วยภูมิปัญญาจากศรัทธาของบรรพบุรุษ ที่มีมายาวนาน จึงได้มีการสร้างเคล็ดแห่งการบูชาประอุปคุตขึ้นมาโดยไม่ต้องรอฤกษ์ รอวันเวลา ผ่านการสร้างองค์พระบูชาที่เรียกว่า “พระอุปคุต” หรือที่เรียกกันในบางพื้นที่ว่า “พระบัวเข็ม”   การตั้งบูชา โดยมีวิธีการบูชา ด้วยการอัญเชิญพระอุปคุต ตั้งบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ อันเป็นการจำลองในการที่ท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร พร้อมด้วยดอกมะลิหอมลอยอยู่ เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชา แต่ที่สำคัญ ในตำแหน่งการจัดวางขององค์ท่าน ต้องตั้งต่ำกว่าพระพุทธรูป  เพราะพระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

 เคล็ดวิธีบูชาพระอุปคุต
1. ถวายน้ำสะอาดวันละ 1 แก้วที่สะอาด จุดธูปหอม 3 ดอก (หรือจะธูปไฟฟ้าสมัยใหม่ก็ได้)
2. ดอกมะลิหรือดอกบัวขาว ลอยอยู่ในภาชนะที่ใส่น้ำ
3. ถวายข้าว, กล้วย, ขนม ทุกเช้า หรือในทุกวันพระ แต่ห้ามถวายประเภทสิ่งมีชีวิต เพราะท่านไม่โปรดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งเป็นกรรมที่ผูกพัน
4. เวลาจัดงานหรือมีพิธีการใด  ให้จัดโต๊ะพิเศษ อันเชิญพระอุปคุตมาตั้งไว้ พร้อมบูชาเครื่องสักการะตลอดงาน ระวังอย่าให้ไฟที่ตะบูชาและในงานดับขณะกำลังทำพิธี คำบูชา เพื่อขอโชคลาภจากพระอุปคุต เริ่มต้นด้วยการจุดธูปเทียนบูชา พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอมน้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระในบ้าน ในร้านค้า หรืออาคารสำนักงาน จากนั้นอธิษฐาน ขอให้กลิ่นควันธูปเทียน โดนลมพัดไปทางไหน ของให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น ร่ำรวย และมีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ

 เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ให้สวด นะโม 1 จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต 1 จบ

(หากจะให้เกิดผลเร็วให้สวด 5 จบทุกเช้าเย็นและเวลาที่ว่าง) ดังต่อไปนี้ -ตั้งนะโม 3 จบ -คำบูชาขอลาภพระอุปคุต
" มหาอุปคุตโต จะมหาลาโภ พุทโธลาภัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ราชาปุริโส อิถีโยมานัง นะโมโจรา เมตตาจิตตัง เอหิจิตติจิตตัง ปิยังมะมะ สะเทวะกัง สะพรหมมะกัง มะนุสสานัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯ   เอหิจิตติ จิตตังพันธะนัง อุปะคุตะ จะมหาเถโร พุทธะสาวะกะ อานุภาเวนะ มาระวิชะยะ นิระภะยะ เตชะปุญณะตา จะเทวะตานัมปิ มะนุสสานันปิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ อิมังกายะ พันธะนัง อะทิถามิ ปะอัยยิสสุตัง อุปัจสะอิ ฯ "
(ในบางแห่งใช้คาถาบทนี้ “ อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต มารัญจะ มาระพะลัญจะ โส อิทานิ มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฎฐิโต อะหัง วันทามิ อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มาหาเถรัง ยัง ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ" )
Credit  :
https://torthammarak.wordpress.com/
http://www.dhammathai.org/nithan/dbview.php?No=48
http://board.palungjit.org/

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลักวิชชาสร้างบุญบารมี


“เมื่อเวลาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แต่อย่างใดอย่างหนึ่งต้องใช้มารยาทให้เรียบร้อย เวลาจะให้ทานต้องใช้มารยาทที่นุ่มนวลเป็นที่น่าดูน่าชม ใครเห็นก็นิยม ...เมื่อมีมารยาทเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเหตุให้เกิดในสกุลสูง”


“...ส่วนวาจาเล่า จะพูดจาปราศรัยกับบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด ผู้เฒ่าผู้แก่ สมณพราหมณาจารย์ ก็พูดแต่ถ้อยคำนุ่มนวลชวนสดับ ถ้อยคำที่เป็นกักขฬะ ชั่วช้าหยาบคาย
อย่าเอาไปใช้ ถ้าใช้เข้าแล้วมันเป็นนิสัยติดไป จะไปเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้นบ้าง”


“ส่วนใจเล่า ใจก็ต้องให้นุ่มนวล ให้อ่อนโยน ต้องใช้ใจที่เป็นบุญเป็นกุศใจเป็นอกุศลไม่เอาเข้ามาใช้ ใจที่เห็นผิด เข้าใจผิดอย่าเอามาใช้ ใจที่เห็นชอบเห็นถูก ก็เอาเข้ามาใช้อย่างชนิดนั้น เกิดไปในภายหน้าเป็นมนุษย์ชั้นสูง”


พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
 Credit From facebook

วาจาศักดิ์สิทธิ์

"ถ้าใครต้องการวาจาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ต้องพยายามห้ามวาจาทุจริตเสีย ให้มีวาจาสุจริตอยู่ร่ำไป
เมื่อกล่าวขึ้นแล้ว เป็นประโยชน์แก่ตนบ้าง ประโยชน์แก่คนอื่นบ้าง เป็นประโยชน์ทั้งตนบุคคลอื่นได้
วาจาไม่เป็นประโยชน์แล้วเสียเวลา พวกที่พูดวาจาพล่อยๆ เอาเรื่องเอาราวไม่ได้ วาจาเหลวไหลชนิดนี้ ฆ่าวาจาของตัวเอง ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ไม่มีใครทำให้
นี้ต้องอุตส่าห์แก้ไขวาจาของตนให้เป็นวาจาที่ไพเราะอ่อนหวานอยู่ร่ำไป นี้เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นด้วย
เป็นทั้งประโยชน์แก่กันและกัน"

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงปู่มั่นโปรดวิญญาณสามเณรและหญิงที่เป็นห่วงพระเจดีย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ


ท่านเล่าว่า หลายคืนที่ทำความเพียรอยู่ตลอดกลางคืนยามดึกสงัด ปรากฏเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง พากันเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวบริเวณนั้นแทบทุกคืน ท่านนึกสงสัยว่าคนทั้งสองนี้เดินไปมาเพื่อประสงค์อะไร

วันต่อมาจึงถามถึงเหตุที่ต้องพากันมาเดินวกเวียนอยู่แถวนั้น ก็ได้คำตอบจากคนทั้งสองว่า เป็นห่วงและอาลัยในพระเจดีย์ที่สร้างยังไม่เสร็จ แต่ได้ตายไปเสียก่อน เพราะความห่วงใยนั้นจึงต้องวกเวียนไปมาอยู่ทำนองนี้นานแล้ว ส่วนสามเณรน้อยนั้นเป็นน้องชายของหญิงคนนั้น ทั้งสองคนได้ร่วมกำลังกันสร้างพระเจดีย์ ความที่ต่างคนต่างห่วงและอาลัยพระเจดีย์และเสียดายเวลาไม่รอคอยพอให้สร้างพระเจดีย์เสร็จก่อนแล้วค่อยตายไป จะไม่เป็นภาระผูกพันดังที่เป็นอยู่เวลานี้ แม้จะเป็นอยู่ในภพที่มีความห่วงใย แต่ก็มิได้มีความทุกข์ทรมานซึ่งควรจะเป็น เป็นแต่จะไปผุดไปเกิดที่ไหนก็ไม่อาจปลงใจลงได้เด็ดขาดเท่านั้น

ท่านจึงได้เทศน์ให้คนทั้งสองฟังว่า

“สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียวโดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย”

การสร้างพระเจดีย์ไม่สำเร็จแต่มาด่วนตายไปเสียก่อนนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เป็นไปตามใจหวังได้แล้วเราก็ไม่ควรตาย ควรจะสร้างให้สำเร็จไปเสียก่อน แต่ยังฝืนตายไปจนได้ มิหนำเวลาตายแล้วยังมาเป็นห่วงอยากให้เจดีย์สำเร็จทั้งที่ไม่สามารถทำได้ นี่แสดงว่าคิดผิดไปถึงสองชั้น แล้วยังจะเป็นห่วงเพื่อให้สมความปรารถนาอีกต่อไป ยิ่งคิดผิดไปอีกสามชั้น ความคิดผิดมิได้ผิดเฉพาะความคิดเท่านั้น การไปการมาเกิดในภพ การเสวยสุขเสวยทุกข์ในภพนั้น ๆ ก็พลอยผิดความมุ่งหมายไปด้วย เพราะความคิดผิดเป็นสาเหตุจากใจเพียงดวงเดียว จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะฝืนคิดฝืนเป็นห่วงต่อไป
การสร้างพระเจดีย์เราสร้างหวังบุญหวังกุศลต่างหาก มิได้สร้างเพื่อหวังเอาก้อนอิฐก้อนหินปูนทรายในองค์พระเจดีย์ไปด้วย สิ่งที่เป็นสมบัติของเราในการสร้างพระเจดีย์ก็คือบุญ สร้างได้มากน้อยบุญที่เกิดจากการสร้างนั้นเป็นของเรา จึงไม่ควรเป็นห่วงใยในอิฐในปูนและในพระเจดีย์ ซึ่งเป็นวัตถุที่หยาบยิ่ง และเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะให้เป็นไปได้ดังใจหวัง

ท่านนักสร้างบุญทั้งหลาย ท่านเอาเฉพาะบุญติดตัวไป มิได้เอาสิ่งก่อสร้างวัตถุทานต่าง ๆ ที่สละลงเพื่อทานแล้วติดตัวไปด้วย เช่น การสร้างวัด สร้างกุฎีวิหาร ศาลาโรงธรรมสวนะ สร้างถนนหนทาง สร้างถังน้ำ สร้างสาธารณสถาน ตลอดการให้ทานด้วยวัตถุต่าง ๆ มากมายหลายวิธี สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องสนองกุศลเจตนาของผู้มุ่งทำบุญให้ทานเท่านั้น มิใช่ตัวบุญ ตัวกุศล ตัวสวรรค์นิพพาน และมิใช่ผู้จะไปสู่มรรค สู่ผล สู่สวรรค์นิพพาน สร้างไว้แล้วนานไปก็ชำรุดทรุดโทรม และร่วงโรยไปตามฐานะและกาลของมัน
สิ่งที่สำเร็จจากการก่อสร้างและการให้ทานอันเป็นส่วนนามธรรมอยู่ภายในนั้น คือตัวบุญกุศล เจ้าของผู้คิดเป็นกุศลเจตนาขึ้นมาให้สำเร็จเป็นวัตถุไทยทานต่าง ๆ นั้นคือใจ ใจนี่แลเป็นผู้ทรงบุญทรงกุศล ทรงมรรค ทรงผล ทรงสวรรค์นิพพาน และใจนี่แลเป็นผู้ไปสู่สวรรค์นิพพาน นอกจากใจไม่มีอะไรจะไป
เจดีย์ของคุณทั้งสองที่สร้างยังไม่เสร็จนั้น ก็มิได้มีจิตใจพอจะมีเจตนาในบุญกุศลเพื่อไปสวรรค์นิพพานอะไรเลย ความเป็นห่วงก็คือใจดวงหึงหวง แม้จะเป็นฝ่ายดี แต่ความคิดที่ติดอยู่จัดว่าเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดต่อตัวเองอยู่นั่นแหละ จึงทำเจ้าของให้วกไปเวียนมาชักช้าต่อทางไปผุดไปเกิด

ถ้าคุณทั้งสองยินดีเฉพาะกุศลผลบุญที่ทำได้จากการสร้างพระเจดีย์ไปเท่านั้น ไม่มุ่งจะแบกหามพระเจดีย์ไปสวรรค์นิพพานด้วย คุณทั้งสองก็ไปอย่างสุคโตหายห่วงไปนานแล้ว เพราะบุญเป็นเครื่องสนับสนุนคนให้สุคโตเสมอมา ดังธรรมแสดงไว้ว่าอกาลิโก ฉะนั้นบุญจึงไม่เปลี่ยนแปลงตัวกลายเป็นบาปตลอดกาล ความห่วงในสิ่งไม่ควรห่วงและในกาลไม่ควรห่วง จึงเป็นความผิดของผู้ห่วงใยเอง

อนึ่งความห่วงใยอยากให้เจดีย์สำเร็จนั้น ก็มิได้สำเร็จไปตามความห่วงความหวัง จึงไม่ควรตั้งจิตคิดเป็นห่วงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พลังแห่งบุญกุศลของคุณทั้งสองพอดีกับคุณทั้งสองอยู่เฉพาะปัจจุบัน อย่าคิดเรื่องอดีตอนาคตให้เป็นการกดถ่วงกำลังใจที่ควรจะไปทางดีให้เสียเวลาอยู่นาน ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่ขณะนี้ ควรแก้ไขเจตสิกธรรม คือความคิดปรุงต่าง ๆ นั้นเสีย คุณทั้งสองจะหายห่วงและไปอย่างสบายหายกังวลในไม่ช้า ขอได้พากันสนใจในปัจจุบันอันเป็นที่บรรจุกุศลธรรมทั้งมวลเพื่อมรรคผลนิพพาน อดีตอนาคตเป็นข้าศึกที่ควรแก้ไขอย่าให้เนิ่นนาน

คุณทั้งสองเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก สร้างบุญญาภิสมภารมาเพื่อยังตนไปสู่สุคติ แต่กลับมาติดกังวลในอิฐในปูนเพียงเท่านั้น จนเป็นอุปสรรคต่อทางเดินของตนซึ่งทำให้เสียเวลาไปนาน ถ้าคุณทั้งสองพยายามตัดความขัดข้องห่วงใยที่กำลังเป็นอยู่ออกจากใจ ชั่วเวลาไม่นานเลยจะเป็นผู้หมดภาระเครื่องผูกพัน คุณมีจิตมุ่งมั่นในภพใดจะสมหวังในภพนั้น เพราะแรงกุศลที่ได้พากันสร้างมาพร้อมอยู่แล้ว
จากนั้นท่านแสดงศีล ๕ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ไม่ขัดต่อภพกำเนิดและเพศวัยให้ฟัง พร้อมอานิสงส์เป็นใจความย่อว่า

“หนึ่ง สิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง จึงไม่ควรเบียดเบียนและทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป อันเป็นการทำลายคุณค่าของกันและกันเป็นบาปกรรมแก่ผู้ทำ

สอง สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวนแม้คนอื่นจะเห็นว่าไม่ดีมีคุณค่า แต่ผู้เป็นเจ้าของย่อมเห็นคุณค่าในสมบัติของตน ไม่ว่าสมบัติหรือสิ่งของใด ๆ ที่มีเจ้าของ แม้มีคุณค่าน้อยก็ไม่ควรทำลาย คือ ฉกลัก ปล้นจี้ เป็นต้น อันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกันอย่างหนัก ทั้งเป็นบาปมาก ไม่ควรทำ

สาม ลูกหลานสามีภริยาใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อมล่วงเกิน จึงควรให้สิทธิเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน อันเป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนักและเป็นบาปไม่มีประมาณ

สี่ มุสา การโกหกพกลมเป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลง ขาดความนับถืออย่างไม่มีชิ้นดีเลย แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขาก็ไม่พอใจในคำหลอกลวง จึงไม่ควรพูดโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย

ห้า สุรา ตามธรรมชาติเป็นของมึนเมาและให้โทษอยู่ในตัวของมันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เมื่อดื่มเข้าไปย่อมสามารถทำคนดี ๆ ให้กลายเป็นคนบ้าได้ในทันทีทันใด และลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัวอย่างมนุษย์ทั้งหลาย จึงไม่ควรดื่มสุราเครื่องทำลายสุขภาพทางกายและทางใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำลายตัวเองและผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้

หนึ่ง ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน

สอง ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความครอบครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย

สาม ระหว่างลูกหลาน สามีภริยาอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้มาคอยล่วงล้ำกล้ำกราย ต่างครองกันด้วยความเป็นสุข

สี่ พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล เทวดาและมนุษย์เคารพรัก ผู้มีสัตย์มีศีลไม่เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น

ห้า เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้า หลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าบอหาสติไม่ได้
ผู้มีศีลเป็นผู้ปลูกและส่งเสริมความสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย

ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ฉะนั้นผู้เห็นคุณค่าของตัวจึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่นว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีลธรรมคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ เมื่อจากอัตภาพนี้จะมีสวรรค์เป็นที่ไปโดยไม่ต้องสงสัย ธรรมที่สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงสมบัติทุกอย่างในอัตภาพที่จะมาถึงในไม่ช้านี้แน่นอน”


พอจบธรรมเทศนา สองพี่น้องมีใจร่าเริงในธรรม และขอสมาทานศีล ๕ กับท่าน ท่านได้ประกาศศีล ๕ ให้แก่สองพี่น้องตามเจตนา พอเสร็จการแสดงธรรมและประกาศศีล ๕ แล้ว คนทั้งสองได้นมัสการลาและหายตัวไปในที่และขณะนั้นนั่นเอง

ด้วยอำนาจกุศลศีลทานที่ได้สร้างมาและกุศลที่ฟังธรรมรักษาศีล ๕ กับท่านอาจารย์ สองพี่น้องได้เปลี่ยนภพถ่ายภูมิที่เป็นอยู่ ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพในลำดับต่อมาโดยไม่ชักช้า และได้พากันมานมัสการเยี่ยมฟังเทศน์ท่านอาจารย์เสมอมิได้ขาด พร้อมด้วยความขอบพระคุณท่านที่เมตตาอนุเคราะห์ให้อุบายสั่งสอนต่าง ๆ จนได้พ้นจากความวกเวียนไปมาในสถานที่นั้น แล้วไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพยสมบัติที่ไปรอคอยอยู่เป็นเวลานานแล้วอย่างมีความสุข

เวลาที่ลงมาเยี่ยมท่านได้เล่าเรื่องความห่วงใยว่าเป็นภัยแก่จิตใจอย่างยิ่ง ทำให้เนิ่นช้าต่อทางดำเนินและภพชาติที่ควรจะได้จะถึง พอได้รับอุบายแล้วก็สามารถตัดความห่วงใยเหล่านั้นเสียได้ จิตพ้นจากความผูกพันไปเกิดในสวรรค์ได้โดยสะดวก

ลำดับนั้นท่านได้แสดงความห่วงใยของจิตว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคได้อย่างมากมาย เวลาจะพรากจากขันธ์ นักปราชญ์ท่านจึงสอนให้ระวังจิตไม่ให้เป็นอารมณ์ห่วงใยกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น กลัวจิตจะประหวัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นที่รักบ้าง เป็นอารมณ์ขุ่นมัวในใจบ้าง เช่น ความโกรธแค้นในผู้หนึ่งผู้ใด ขณะจิตจะออกจากร่างเป็นขณะที่สำคัญมาก อาจไปเกาะเอาอารมณ์ที่ไม่ดีเข้าแล้วกลับมาเป็นไฟเผาตัว จากนั้นก็ไปเกิดในทุคติภพมีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นภพกำเนิดที่ไม่พึงปรารถนา และให้ความทุกข์ร้อนตลอดภพนั้น ๆ

ฉะนั้นการฝึกอบรมจิตเมื่ออยู่ในฐานะที่ควรทำได้จึงควรสนใจอย่างยิ่ง ฝึกให้รู้เรื่องของจิตเสียแต่ยังเป็นคนที่รู้ ๆ เห็น ๆ เรื่องของตนอยู่ทุกขณะ นี้เป็นความชอบแท้ เมื่อทราบว่ายังบกพร่องส่วนใดจะได้รีบแก้ไขดัดแปลงเสีย เวลาเข้าตาจนแล้วจะได้มีทางรักษาตัวทันกับเหตุการณ์

ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะเสียทีให้ความชั่วทั้งหลายเข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้ ยิ่งฝึกให้ขาดความสืบต่อกับอารมณ์ดีชั่วทั้งหลายอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งประเสริฐเลิศโลกไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน นักปราชญ์ท่านเห็นความสำคัญของใจว่าประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในสามภพ ท่านจึงพยายามฝึกใจให้ไปถูกทาง และสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติต่อใจด้วยดี

เพราะการขาดทุนสูญทรัพย์นอกภายใน ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ เวลาเป็นอยู่ก็อยู่ด้วยใจ สุขด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ เวลาตายไปก็ไปด้วยใจ เกิดเป็นกำเนิดต่าง ๆ ดีหรือชั่วก็เกิดด้วยใจ เสวยกรรมทั้งหนักทั้งเบา ทั้งดีทั้งชั่ว ด้วยใจเป็นเหตุทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดพาให้เป็น มีใจดวงเดียวเท่านั้นพาให้เป็นไป ใจจึงควรได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีเสมอ เพื่อรู้วิธีปฏิบัติต่อตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคต


พอจบการแสดงธรรม เทวดาได้รับความแช่มชื่นเบิกบานใจเป็นอันมาก และกล่าวสรรเสริญธรรมที่ท่านแสดงว่าเป็นยอดแห่งธรรม ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นใดมาก่อนเลย เสร็จแล้วพากันกระทำประทักษิณสามรอบ และถอยห่างออกไปจนพ้นเขตที่ท่านพักอยู่ แล้วต่างก็เหาะลอยขึ้นบนอากาศ ราวกับสำลีอันละเอียดถูกลมพัดปลิวขึ้นสู่อากาศฉะนั้น
(ที่มา ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=871918329526950&set=gm.936775666367633&type=1&theater

สู่วงศ์พระพุทธศาสนาของ พันเอกนิ่ม (พระอาจาย์มั่น ภูริทตฺโต)


หลังจากทำสงคราม ยึดนครจำปาศักดิ์เสร็จสิ้นลง มีนายทหารท่านหนึ่งมากราบท่านพระอาจารย์มั่น ด้วยความเลื่อมใส มาถึงตอนเช้าก็ถวายทาน ปกติระเบียบของท่านพระอาจารย์มั่น ถ้าแขกมาอย่างนี้น่ะ ท่านจะให้มาเวลาเช้า เวลานี้ท่านจะให้ต้อนรับ แต่ถ้าเลิกฉันบิณฑบาตแล้วหมดเวลา จนถึงบ่าย 3 โมง และจะต้องมีผู้นำมา ถ้าไม่มีผู้นำ ท่านไม่ให้เข้ามา



ทีนี้ท่านมาคนเดียว ขึ้นไปกราบนมัสการแล้ว ท่านก็รายงานตามแบบทหาร ชื่อนั้น ยศท่าน เท่านี้ ท่านพระอาจารย์มั่นก็เทศนาเกี่ยวกับ ทาน ศีล เนกขัมมะ การออกจากกาม โทษของกาม หลังจากท่านเทศน์จบก็ลากลับ พอตกค่ำหลังจากอบรมพระเณรเสร็จแล้ว ผู้เล่าได้ขึ้นไปปฏิบัติท่าน ถวายการนวด ท่านก็ปรารภเปรยๆ ขึ้นว่า “อันนี้ได้เหตุล่ะน่ะ" (อันนี้ หมายถึงตัวท่าน) วันนั้นตอนเช้าใกล้จะสว่างท่านทำสมาธิอยู่ ก็มีนิมิตปรากฏว่า มีนายพันคนหนึ่ง มารายงานตัวว่า ผมมาจากวอชิงตัน ตอนนั้นก็ยังไม่ได้พิจารณาอะไรหรอกบังเอิญมา  พบนายพันทหารไทยคนนี้ ท่านก็จึงหวนพิจารณา

ได้ความว่า นายพันทหารไทยคนนี้น่ะ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปรบอยู่ที่ประเทศเยอรมัน มียศเป็นนายพันทหารเหมือนกัน เป็นคนอเมริกันและพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ส่งทหารไทยไปรบ อยู่ที่เยอรมันนั้นเอง อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร  สมัยนั้น เวลาจะพักรบน่ะพักจริงๆ ขนาดทหารฝ่ายสัมพันธมิตร กับทหารเยอรมัน จุดบุหรี่ ด้วยกันได้ ไม่เหมือนทุกวันนี้ หลังจากพักรบแล้ว นายพันทหารไทยก็มานอน อ่านหนังสืออยู่ที่เปล
นายพันทหารอเมริกันก็เข้ามาถาม “อ่านหนังสืออะไร” 
นายพันทหารไทย “อ่านหนังสือเรื่องเบญจศีล เบญจธรรม เขียนโดย สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวขิรญาณวโรรส” 
“ผมอยากรู้ อธิบายให้ฟังได้ไหม” 
นายทหารไทยก็อธิบายให้ฟัง แกก็เลื่อมใส พูดว่า “ผมนับถือคริสต์ ผมจะปฏิบัติอย่างนี้ได้ไหม”
“ขึ้นชื่อว่าความดีนี้ ไม่เลือก จะนับถืออะไรก็ทำได้” ทหารไทยตอบ
แกก็เลยสมาทานศีลห้า กลับไปอเมริกา ไปสิ้นชีวิตลงที่นั่น 

ด้วยอานิสงค์ของการรักษาศีล 5 นี้ ก็พลัดเข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนา พอพลัดเข้ามาแล้ว ก็ยังได้มาเป็นนายพันทหารอีกเหมือนกัน คือ ท่านพันเอกนิ่ม ชโยดม คนที่เข้ามาเมื่อเช้านั่นแหละ เธอต้องการอยากจะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน เธอพูดกับท่านพระอาจารย์ว่า “จะได้ปิดประตูอบายภูมิ จะเป็นไปได้ไหมท่านอาจารย์”
ท่าน ฯ บอก “สำหรับผู้ปฏิบัติ ก็คงจะได้กระมัง”

เธอก็ยังสงสัยลังเลอยู่ ยังไม่มั่นใจ พอกลับไปกราบท่านพระอาจารย์ ครั้งที่ 2 ก็ถามอีก ครั้งที่ 3 ก็ถามอีก ท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดเหมือนเดิม

หลังจากนายพันเอกนิ่มกลับไปแล้ว ขณะผู้เล่าถวายการนวดอยู่ ท่านพูดว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะบารมียังอ่อน เขาเป็นพาหิราศาสนา ศาสนาภายนอกมาหลายภพ หลายชาติ ด้วยอานิสงค์ที่รักษาศีล 5 ในพระพุทธศาสนา จึงพลัดเข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนา ต้องมาเกิดในประเทศไทยนี้ถึง 2 ชาติเสียก่อน จึงจะได้สำเร็จ เป็นอริยบุคคล โสดาบัน เพราะบารมียังอ่อน” 

ประวัติพันเอกนิ่ม ชโยดม ท.ช., ท.ม. 

เกิด 25 มกราคม 2440 ณ บ้านปลักแรด อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เริ่มเรียน หนังสือครั้งแรกที่บ้านเกิด จนกระทั่งอายุ 19 ปี ในปี พ.ศ. 2460 สอบเข้า โรงเรียนนายร้อยทหารบก สำเร็จออกรับราชการ ในปี 2465 ได้รับบรรดาศักดิ์ เป็นขุนนิมมานกลยุทธ

ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2484 ขณะเป็นผู้บังคับกองพัน ทหารราบที่2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำทหารในบังคับบัญชาปฏิบัติการรบ เพื่อป้องกันเขตไทยที่เมืองจำปาศักดิ์ ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ที่เรียกว่า “วีรกรรมบ้านพร้าว”

ประมาณ พ.ศ. 2490-2492 ย้ายไปรับราชการเป็นผู้บังคับการทหารบกอุบลราชธานี มีหน่วยทหารในภาคอีสานหลายจังหวัดขึ้นตรงกับ ทหารบก อุบลราชธานี ในโอกาสออกตรวจเยี่ยมหน่วยทหาร ท่านได้ถือโอกาสเข้าไปกราบนมัสการท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2531

จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" จากบันทึกความทรงจำของ หลวงตาทองคำ สมัยที่ได้อุปัฎฐากหลวงปู่มั่น เมื่อปี พศ 2487-2492


https://www.facebook.com/photo.php?fbid=773518559368767&set=a.576290235758268.1073741828.100001318912109&type=1&theater

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่



▶▷ อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนพ่อและแม่ เดือนละ 1,000บาท เป็นประจำทุกเดือน ผมสงสัยทำไมต้องให้เงินพ่อแม่เดือนละ 1,000 บาท? ในเมื่อแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว วันหนึ่งสบโอกาสผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ว่า "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"
อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่... ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 1,000 บาท... ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"
ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้แม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ... อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1,000 นี่ ตัดได้ครับ"
อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะ...เป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"

 ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?
อาจารย์บอกต่อ “หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข...
คุณลองนึกดู... คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ..ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร..มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน
แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือน
ออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พร เเล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"

▶▷ 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร? 

▷วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลาน
ด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว...สวมสร้อยให้พร้อมให้พร พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน 1,000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขาม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?
ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่..มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้
▷วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆ คว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบ
เงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ
วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ... วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?
เห็นไหมเงินเดือน 1,000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้มีคนมายกมือ
ไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1000 บาท นี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?
▶▷ บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท 
▷วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 5000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุงห้องน้ำ เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 บาท ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์... นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือ แม่จะได้ทำบุญไหม?
พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆ บ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?
ลุงข้างบ้านตอบ “ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า! เป็นยังไงบ้างครับ.... 
เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท "เงินเลี้ยงหัวใจแม่ " แล้วหรือยังครับ
วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่ " แล้วหรือยัง ?

ที่มา : fb/ประตู สู่เศรษฐี



วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

อานิสงส์ของการสวดมนต์

เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้ว  การสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

•  เมื่อฟังธรรม

•  เมื่อแสดงธรรม

•  เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์

•  เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น

•  เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

•  กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม

•  ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย

•  วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว

อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

  *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

  *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล


"อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเองในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปีโดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมรในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถาและเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมาย

ในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้นอาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพังในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลยนอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า "ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง"  อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมาอาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้นในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อยอาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้นอาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี

และ ณ ที่แห่งนั้นอาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้วชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ"นายผล"  นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้าและมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืนแต่ไม่ได้หวังทำรายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้า สามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้ หรือไม่นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วัน เต็มๆไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนูหรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมาก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมาอาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถาหรือคุณไสยใดนายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหกถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมาจึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำไม่

สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่าอาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า"พุทธังสะระณัง คัจฉามิ  ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"   จนจิตมีความสงบนิ่งแล้วจึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายจงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลยอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูตผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่าจะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาดเพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไปครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฏิบัติเป็นปกติเมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมาจึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึ่งกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิธัมมัง สะระณังคัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไปจากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนาตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอัตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟัง การสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน"  ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยก มือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก


จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara64.htm
http://board.palungjit.org/