วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

นิทานกำเนิดพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

นิทานแม่กาเผือก -ตำนานกำเนิดพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และ พระเจดีย์ชเวดากอง 


พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์


  • "ปฐมกาลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์เจ้า 5 พระองค์"

ย้อนหลังไป 20อสงไขย กับอีก 1 มหาแสนกัปป์ สมัยอยู่ในช่วง มัณฑกัปป์ ที่มีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาอุบัติตรัสรู้ในโลก 4 พระองค์ คือ

1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัณหังกรพุทธเจ้า
2. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมธังกรพุทธเจ้า
3. พระสัมมาสัมพุทธสรณังกรพุทธเจ้า
4. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรพุทธเจ้า

ในสมัยพระพุทธเจ้าทีปังกรนั้น ยังมีไก่ป่า ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากอารามที่ประทับของพระองค์ ตอนกลางวันก็จะเที่ยวออกหากินภายในบริเวณวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงเกิดมีความปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง  ไก่ป่าวิตกอยู่หลายวันเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานจะคิดการได้สำเร็จหรือไม่ จนร่างกายผ่ายผอม อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันคืนเดือนเพ็ญ 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหาข้องใจนั้น พระองค์ทรงทราบด้วยญาณวิถีแห่งพระองค์ว่า จะมีไก่ตัวหนึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาเฝ้าเพื่อต้องการทูลถามปัญหาทั้งปวง เป็นปัญหาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีใครๆ เคยถามมาก่อน พระองค์จึงได้ทรงตรัสเรียกไก่ตัวนั้นที่พักอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ นั้นให้เข้ามาหา

"ดูก่อนเจ้าไก่ ! เจ้าจงเข้ามาเถิด เราจะช่วยยกปัญหาอันหนักออกจากจิตให้"

ฝ่ายไก่เมื่อได้ยินพระดำรัสนี้ จึงเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ  พระองค์ทรงให้การต้อนรับในท่าอิริยาบถที่สบายเป็นกันเองกับไก่ด้วยการประทับ นั่งห้อยพระบาทคงข้างพระพุทธอาสน์เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถของพระวรกายแล้วได้ ตรัสว่า

“เจ้ามีปัญหาคาจิตอันใด ก็ถามเราได้เลย”

ไก่จึงทูลถามว่า

" ข้าพระพุทธองค์เป็นสัตว์ที่เกิดมาด้วยภูมิอันต่ำแต่มีความปรารถนาที่ตั้งใจ จริงอยากเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลเสมือนดังพุทธองค์ ความต้องการวันนี้อของข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ว่าจะบรรลุดังเจตจำนงหรือไม่"

เมื่อพระพุทธองค์ได้ทราบแล้วจึงทรงแสดงธรรมการสร้างบารมีทั้งหลายให้ไก่ได้ฟังว่า
“จักสำเร็จได้ ด้วยการสร้างบารมีทั้งหลายอันยาวนาน บุคคลที่ทำการสร้างบารมีนั้นเรียกว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้น เรียกว่าอนิยตโพธิสัตว์คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ครั้นเมื่อได้รับพยากรร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วจึงได้ชื่อ ว่าพระนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน”

เมื่อไก่ได้ฟังแล้วจึงได้ทูลถามถึงพิธีการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระพุทธองค์จึงตรัสถึงประเพณีที่นิยมว่าให้ก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์และหาเครื่องสักการะต่างๆ อันควรที่จะหาได้ เช่น ดอกไม้ แล้วกล่าวคำสรรเสริญแก่พระรัตนตรัย ต่อจากนั้นให้ตั้งสัจจะอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต  แล้วในที่สุดให้ตั้งใจสมาทานศีลห้าเป็นพื้นฐานก่อน เมื่อถึงวันพระก็ให้สมาทานศีลแปดตามกำลังความเหมาะสม และสภาวะของตนแล้วตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

"แม้เป็นสัตว์ก็สามารถปรารถนา เป็นหน่อพุทธางกูลได้"

ไก่ประเสริฐตัวนั้นจึงทูลลาพระชินสีห์กลับไปยังที่พักของตนและได้เดินเวียนประทักษิณรอบแห่ง ธรรมสภานั้นก่อนด้วยความเคารพบูชาที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันต่อมาไก่ตัวนั้นก็ได้เดินไปที่หาดทรายอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ดังดอกฝ้าย จึงได้ใช้เท้าของตัวเองเขี่ยทรายให้เป็นกอง แล้วตั้งจิตจำนงอันแน่วแน่พร้อมกับส่งเสียงออกมาทางปากว่า

"เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนทรายสูงขึ้นท่วมหัวไก่"

ยังมี อีเห็นตัวหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับชะมดและพังพอน มีลำตัวเรียวยาวขาสั้น หางยาวมีปากแหลมยาวกำลังออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินเสียงไก่จึงคิดจะจับกิน ครั้นมาเห็นอาการของไก่ดังนั้นจึงแปลกใจและไก่เองก็ไม่มีความกลัวตายเลยจึงเข้าไปถามไก่ เมื่อได้รับรู้ความจริงดังนั้นก็ เกิดศรัทธาอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงช่วยไก่นั้นก่อเจดีย์ทราย โดยเอาขาหน้าทั้งสองเขี่ยทรายขึ้น เอาขาหลังทั้งสองเหยียบกันไว้ ทำให้ทรายสูงขึ้นโดนลำดับจนถึงเที่ยงคืน

ยังมีเต่าตัวหนึ่งออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินไก่และอีเห็นจึงเกิดความสงสัยค่อยคลานมาดูแล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจแก่ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ที่เห็นไก่และอีเห็นกำลังช่วยกันก่อเจดีย์ทรายปากก็ร้องว่า
"เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ" อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะสัตว์ทั้งสองนี้ อันที่จริงนั้นจักอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เพราะถ้าอีเห็นเจอไก่เมื่อไรก็ต้องไล่จับกินเสียเมื่อนั้นแต่ ณ ที่นี้สัตว์ทั้งสองอยู่ด้วยกันถมช่วยกันทำงานด้วยความตั้งใจสามัคคีกันอีก เต่าจึงเข้าไปถามไถ่เพื่อให้แจ้งใจ เมื่อได้รับทราบเหตุการณ์อันนั้นจากไก่ ซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ในขณะนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงขออนุญาตไก่ช่วยร่วมสร้างเจดีย์ทรายกองนั้น เพื่อความที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย โดยเต่าได้ใช้หัวบ้าง กระดองบ้าง ใต้ท้องกระดองบ้าง ดันทรายขึ้นให้เป็นกองตามความสามารถของตน ที่จะกระทำได้ สัตว์ทั้งสามปฏิบัติก่อการใหญ่ โดยการพยายามทำทรายให้เป็นกองใหญ่ จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมง

จะขอกล่าวถึง โค ตัวหนึ่งกำหลังกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำเนรัญชรานั้น มีนายพรานคนหนึ่งออกป่าล่าสัตว์ได้เห็นโคตัวนั้น จึงใช้หน้าไม้ยิงใส่โคตัวนั้น แต้โคตัวนั้นได้วิ่งหนีไปจนไกล โคตัวนั้นได้หนีมาจนกระทั่งมาพบสัตว์ทั้งสามตัว คือ ไก่ อีเห็น เต่า กำลังก่อเจดีย์ทราย ดังนั้นจึงเข้าไปถามด้วยความอัศจรรย์ใจในเหตุการณ์นั้น ครั้นเมื่อได้รู้ดังนั้นจึงขออนุญาตจากไก่ได้ร่วมสร้างเจดีย์ทราย
"เพื่อปรารถนาเป็นหน่อของพุทธางกูรด้วย"

เมื่อ ไก่อนุญาตแล้วโคก็เข้าไปช่วยโดยใช้เท้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขี่ยทรายให้ สูงขึ้น บางครั้งก็พูดออกมาว่า ถ้าแม้นายพรานตามมาทันและจะมาฆ่าแล่เอาเนื้อตนไป ก็ไม่เสียดายและ พร้อมที่จะทานเลือดเนื้อนี้ แลชีวิตนี้ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น แล้วก็เปล่งคำว่า
"เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆไปพร้อม กับสัตว์ทั้งสามนั้น"

ฝ่ายนายพราน เมื่อติดตามโคนั้นมาใกล้เข้าได้ยินสัตว์ทั้งสี่ร้องระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จึงเข้าไปแอบดูได้เห็นอาการของสัตว์ทั้งสี่นั้นแล้วจึงซ่อนอาวุธไว้ในป่า แล้วจึงเดินเข้าไปหาสัตว์ทั้งสี่นั้น ฝ่ายสัตว์ทั้งสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งตกใจกลัวแม้แต่น้อย กลับมองดูตนเองด้วยความเมตตา จึงเข้าไปถามไถ่ผู้เป็นประธานใหญ่ในที่นั่น จึงได้เล่าเหตุการณ์นั้นให้ฟัง นายพรานนั้นถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ย่อมมีปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นจึงลอง ถามปัญหาธรรมต่างๆ จากไก่ ไก่ก็ตอบให้หายข้องใจได้หมด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ จึงถามว่าปัญหาที่ท่านตอบมาท่านรู้มาแต่ที่ใด ไก่จึงตอบว่าตนเองเพิ่งได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าทีปังกรมาเมื่อวานนี้เอง

นายพรานจึงเชื่อและขอร่วมในการสร้างบารมีจากไก่ด้วย ไก่และสัตว์ทั้งหลาย คือ อีเห็น เต่า โค ก็อนุโมทนาและยินดีให้ร่วม นายพรานจึงได้สร้างเจดีย์กับสัตว์เหล่านั้น ด้วยตนเองเป็นมนุษย์สามารถทำการสร้างเจดีย์ได้รวดเร็วและสวยงาม ครั้งเสร็จทั้งหมดจึงให้นายพรานนั้นไปหาดอกไม้มา นายพรานก็ได้ไปเก็บดอกบัวสีขาวสะอาด ซึ่งกำลังตูมอยู่มา 5 ดอก ทั้งหมดได้พากันอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว จึงพากันไปสักการะเจดีย์ทรายนั้น

"พร้อมกับตั้งสัจจะอธิษฐานโดยให้ไก่เป็นผู้นำก่อน ต่อจากนั้นก็ อีเห็น เต่า โค
และนายพราน ตามลำดับ"




เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ไก่ผู้เป็นประธานจึงให้ทั้งหมดได้ร่วมกันสมาทานศีล 5 เสร็จแล้วไก่ก็ทำประทักษิณรอบเจดีย์ทรายนั้น แล้วแยกย้ายกันกลับไปที่อยู่ของตนในเวลานั้นแล ฝ่ายพญานาคที่อยู่ใต้บาดาล ณ ที่นั้นก็ได้มานำเอาเจดีย์นั้นลงไปบูชาที่เมืองบาดาลของตนด้วยกำลังแห่งฤทธิ์

หลังจากที่หน่อพุทธางกูรทั้ง 5 ตายจากภพชาติแห่ง ไก่ อีเห็น เต่า โค และมนุษย์ ด้วยแรงแห่งสัจจาอธิษฐานสัญญาไว้ต่อกัน เมื่อคราวนั้นความปรารถนาต่อความเป็นพระพุทธเจ้า ชาติต่อมาจึงได้มาเกิดร่วมพร้อมกันเป็นลูกของ แม่กาเผือก 


***กาลครั้งนั้น เหล่าสัตว์ต่างๆ อยู่กันเป็นฝูงเป็นเหล่า ต่างมีหัวหน้าฝูงปกครองซึ่งกันและกัน ยิ่งนานยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงเกรงกลัวจะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ต่อไปภายหน้าจะเดือดร้อน พญาสัตว์เหล่านั้นจึงเรียกประชุมกัน มีพญากา พญาไก่ พญานาค พญาเต่า พญาโค และพญาราชสีห์เป็นต้น   โดยมี พญากาเป็นประมุขในที่ประชุม ครั้งนั้นพญากา เผือกได้ถามพญาสัตว์ทั้งหลายว่า พวกเราจะเอาอะไร  มาปกครองเหล่าบริวารของเราให้มีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันตลอดไปจนถึงภายภาคหน้า เหล่าพญาสัตว์มีความเห็นตรงกัน ที่จะขอเอาพระมาปกครองถึงจะร่มเย็นเป็นสุขกาลครั้งนั้นยังไม่มีพระมาโปรดโลก เมื่อพญาสัตว์ทั้งห้าบอกแก่พญากาว่า ขอเอาพระมาปกครอง พญากาผู้เป็นประมุขในที่ประชุมนั้นจึงขออาสาเป็นผู้ให้กำเนิดแก่พระดังกล่าว***

พญากาเผือก2ผัวเมีย

วันเวลาผ่านไป คืนหนึ่งนางพญากาเผือกเกิดนิมิตฝันไปว่า มีแก้วห้าดวงลอยมาในอากาศ มีรัศมีสวยงามมากสว่างไสวไปทั่วบริเวณ และแก้วนั้นได้ลอยมาหานางกา นางพญากาเผือกจึงรับเอาไว้ทั้งห้าดวง เมื่อนางพญากาเผือกรับเอาไว้แล้ว แก้วทั้งห้าดวงนั้น กลับพลัดตกจากรังหายไป ฝ่ายเหล่าพระโพธิสัตว์ที่สถิตอยู่ยังดุสิต เทวโลกถึงคราจะต้องจุติมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อสร้างสมบารมีให้สมบูรณ์ จึงได้มาจุติกับพญากาเผือกสองผัวเมียนั้น

กาเผือกสองผัวเมียได้อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นมะเดื่อใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ต่อมาแม่กาเผือกก็ตกไข่ออกมา 5 ฟอง แม่กาเผือกสองผัวเมีย ก็ได้แบ่งวาระกันดูแลรักษาไข่เป็นอย่างดีด้วยความรักความเอ็นดู ถ้าวันไหนแม่กาเผือกออกจากรังไปหาอาหาร ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูไข่ก็ต้องเป็นของแม่กาเผือก ในทางตรงกันข้ามถ้าวันไหนแม่กาเผือกได้ออกจากรังไปหาอาหารบ้าง ผู้ที่รับผิดชอบรังไข่ทั้ง5ฟอง ก็ต้องเป็นของพ่อกาเผือก ผลัดกันทำหน้าที่นี้เรื่อยมา

อยู่มาวันหนึ่งวาระแห่งการหาอาหารเป็นของพ่อกาเผือกได้ออกไปจากรังตั้งแต่เช้า วันนั้นบังเอิญว่าแม่กาเผือกมีธุระที่จะออกไปนอกรังบ้าง จึงได้ทิ้งไข่ไว้แต่เพียงลำพัง เป็นจังหวะเหมาะที่ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่จนกลายเป็นพายุมีลมพัดฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ้าง ประหนึ่งว่ามีความพิโรธโกรธใครมิทราบ สายลมได้พัดพาเอาต้นไม้โค่นลงมาราบเรียบดังหน้ากลอง สิ่งไหนก็ต้านทานไม่อยู่ แม้แต่ขุนเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ดีที่ยังมีพืชพันธ์แมกไม้ต่างปกคลุมเป็นเกาะป้องกันไว้ให้ มิฉะนั้นแล้วก็คงจะลอยไปตามสายลมอย่างไม่มีวันกลับ

ด้วยฤทธิ์เดชแห่งสายลมประกอบกับสายฝน จึงได้พัดพาต้นไม้มะเดื่ออันเป็นที่ทำรังของสองผัวเมียกาเผือก ได้รับอานิสงส์พลอยหักพังไปตามพันธุ์ไม้อื่นๆ ด้วย ทำให้ไข่ทั้ง 5 ฟองพลัดตกลงไปสู่สายน้ำ



"ด้วยโอกาสวาสนาบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ธรรมชาติอันใดก็ทำอันตรายมิได้"

โดยมิได้ตกลงบนพื้นดิน โขดหิน กระทบไม้ สิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อไข่นั้นต่างก็หลีกทางให้ โดยความพอใจ สายแห่งน้ำฝนบวกกับกระแสไหลแห่งแม่น้ำ ได้พักนำพาเอาไข่ทั้ง5 ฟอง ไปสู่สถานที่ต่างกันตามยถากรรมแห่งหน่อพุทธังกูรนั้น สายแห่งน้ำทำให้ไข่ทั้ง5 ฟอง ได้รู้จักแห่งความพลัดพรากจากกันโยไหลไปตามกระแสน้ำคนละทิศทางทางกัน

พอฝนหยุดตกเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วยาม กว่ากาเผือกสองผัวเมียจะบินกลับมาถึงรังได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะภูมิประเทศแปรเปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งพายุอันแสนโหดร้ายนั้น เที่ยวบินเสาะแสวงหาต้นไม้มะเดื่อที่ทำรังกว่าจะได้พบก็นาน แต่ก็ได้เห็นแต่เพียงซากไม้มะเดื่อที่โค่นล้มลงฟาดท่าแม่น้ำเท่านั้น มองไปตามซอกมุมิ่งก้านสาขาไม้มะเดื่อก็ไม่พบฟองไข่ของตน จึงกลับบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้งกลับไปมาสายตาจ้องมองหาไข่ของตนก็ไม่พบ กลับบินลงมาเที่ยวหาบนพื้นดิน ผิวน้ำ ซอกโขดหินก็ยังไม่พบ คิดว่าลูกของตนคงตายไปแล้ว

ด้วยความอาดูรโศกเศร้าก็เกิดขึ้นยิ่งเท่าทวีคูณ ด้วยความรักที่มีต่อไข่ของตน ไม่เป็นอันจะกินจะนอนแลไม่ได้พากันออกหาอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายก็ซูบผอมจนต้องตรอมใจตาในที่สุด ด้วยความอาลัยอาดูรต่อลูกรัก ด้วยแรงแห่งผลกรรมที่ได้กระทำบุญกุศลบารมีที่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดก่อแห่ง หน่อพุทธังกูร ด้วยเจตนาผลนำส่งให้แม่กาเผือกได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นพระพรหม ชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม เสวยสุขในสวรรค์พรุ่งพร้อมไปด้วยทิพยสมบัติ มีเทพธิดาเป็นบริวารมากมาย


กล่าวถึงไข่หน่อพุทธางกูรทั้ง 5  เมื่อสายน้ำได้พัดพาไปอย่างไม่รู้ทิศทางเมื่อฝนหยุด น้ำก็ลด ไข่ทั้ง 5 ฟอง ก็ตกไปคนละทิศละทางใกล้บ้างไกลบ้าง ตามแรงแห่งกระแสน้ำที่จะพัดพาไป


  • ไข่ใบที่ 1  ไหลลอยไปตกค้างอยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่ไก่ตัวหนึ่งมีชื่อว่า กกุสันธตาทีสวาทีลงมากินน้ำและอายน้ำ ด้วยเดชะแห่งบุญของหน่อพุทธังกูรจึงดลจิตให้แม่ไก่เกิดความเมตตาแล้วได้นำไป ฟูมฟักเลี้ยงดูไว้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ไข่นั้นก็ฟักออกมาแต่ไม่ออกมาเป็นสัตว์โดยทั่วไป กลับฟักออกมาเป็นมนุษย์มีบุคลิกลักษณะครบ 32 บริบูรณ์ด้วยความงามสดใสแห่งเพศชาย แม่ไก่ก็เฝ้าเลี้ยงไว้เสาะแสวงหาอาหารหล่อเลี้ยงมาจนเติบใหญ่
  • ไข่ใบที่ 2  ไหลลอยไปตามกระแสน้ำไปตกค้างอยู่ ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่นาคตัวหนึ่ง มีชื่อว่า โกนาคมโน ในขณะที่แม่นาคกำลังแวกว่ายไปมาตามกระแสน้ำ กำลังเพลิดเพลินไปตามกระแสน้ำไหลอยู่นั้น ก็เหลือบตามไปเห็นไข่ฟองหนึ่ง ซึ่งน้ำซัดมาติอยู่ที่ชายหาด มานาคจึงนำไข่ไปเก็บไว้ในถ้ำ บำรุงเฝ้ารักษาไว้เป็นอย่างดี ด้วยความรักเสมือนว่าเป็นลูกของตนแท้ๆ อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมา ที่ปรากฏแก่สายตาของแม่นาค ภายในไข่ใบนั้นเป็นร่างกายของทารกผู้ชายรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม่นาคได้เฝ้าถนอมรักเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาให้กินอย่างไม่อดอยาก จนทารกนั้นเติมใหญ่ขึ้นมามีรูปร่างหน้าตาดีบุคลิกน่าเกรงขาม
  • ไข่ใบที่ 3  ไหลไปตามกระแสน้ำ มุ่งหน้าไปไกลไปตกค้างอยู่บนเกาะทรายแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่แม่เต่าตัวหนึ่งชื่อว่า กัสสัปโป กำลังจะไปตากอากาศบนหาดทรายนั้น หลังจากที่เที่ยวเสาะแสวงหาอาหารการกินจนอิ่มท้องแล้ว จึงไปแสวงหาที่พักผ่อนบ้าง ในบางขณะที่กำลังขึ้นจากแม่น้ำก็ได้พบไข่ใบหนึ่ง ทันทีที่ได้พบก็เกิดความเตตารักใคร่จึงได้นำไปเก็บไว้ อยู่ต่อมาอีกไม่นานไข่ใบนั้นก็ฟักออกมาเป็นเด็กน้อยรุปงามโสภา แม่เต่าก็เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ตามกำลังความสามารถของตน แต่มนุษย์นั้นก็มีความกตัญญูรู้คุณเมื่อโตแล้วก็หาเลี้ยงตอบบ้างเช่นกัน
  • ไข่ใบที่ 4 น้ำก็ซัดพาลอยไปค้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณท่าแห่งหนึ่ง เป็นท่าที่แม่โคตัวหนึ่งชื่อว่า โคตรมะ ลงมากินน้ำที่ท่าน้ำอยู่เป็นประจำ วันนั้นได้พบไข่ใบหนึ่งก็เกิดความเมตตาปราณีเกิดกุศลจิตขึ้นมา จึงนำไปเก็บไว้ ณ ที่พักของตน อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมาเป็นมนุษย์ดูน่ารักน่าเอ็นดู แม่โคก็เอานมตนเองให้กินเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่
  • ไข่ใบที่ 5 ได้ไหลไปตามกระแสน้ำซัดไปตกค้างอยู่ชายป่าท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นท่าน้ำที่แม่ราชสีห์ตัวหนึ่งชื่อว่า อริยเมตไตรโย กำลังจะลงมากินน้ำและพบไข่ใบนั้นเข้าก็เกิดกุศลเมตตาจิต คิดเป็นกุศลจึงได้นำเอาไข่ใบนั้นเก็บไปรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ ภายในถ้ำอันเป็นที่อยู่ของคนเอง อยู่มาไม่นานไข่นั้นก็แตกกะเทาะเปลือกออกมา ภายในไข่นั้นเป็นร่างของทารก ราชสีห์ก็เฝ้าเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาป้อน ป้องกันอันตรายต่างๆ ให้จนทารกนั้นเติบใหญ่ขึ้นมา




วันเวลาล่วงเลยไป เด็กทั้ง 5คน ก็เจริญเติบโตขึ้นมาจนอายุย่างเข้า 16 ปี จึงได้เกิดความสงสัยว่า

“เรานี้เกิดมาจากไหน แม่ที่เลี้ยงเราจนเติบใหญ่อยู่จนทุกวันนี้เป็นแม่บังเกิดเกล้าจริงหรือ ? ด้วยว่าแม่เราเป็นสัตว์ แต่เราเองเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะใช่เป็นแม่ผู้บังเกิดเกล้าแน่นอน”

ทั้งห้าคน ต่างก็คิดสงสัยเหมือนกนหมดทุกคน จึงตัดสินใจเข้าไปถามแม่เลี้ยงของตน ถึงเหตุการณ์แต่หนหลังว่า มีความเป้นมาอย่างไร ทั้งแม่ไก่ มานาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ต่างก็เล่าและตอบถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลังให้ลูกฟังว่า

" ได้พบเห็นไข่ลอยมาตามสายน้ำมาติดเกาะ ติดชายหาด ติดท่าน้ำ แม่ก็เลยเก็บมาเฝ้าดูแลรักษาไว้ ไม่นานเจ้าก็กะเทาะเปลือกออกมาเป็นทารก แม่ก็เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่จนถึงทุกวันนี้แหละ แท้จริงแล้วแม่เป็นเพียงแม่เลี้ยง มิใช่แม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของเจ้าหรอก อันว่าแม่ที่แท้จริงของเจ้านั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน แม่ก็อยากจะทราบอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะพบเจ้านั้น ก่อนนั้นฝนตกลงมาอย่างแรง อีกทั้งมีพายุพัดแรงจัดด้วยต้นไม้หักกันระเนระนาด พอหลังจากนั้นมาแม่ก็ได้พบเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นไข่อยู่"

เมื่อหน่อพุทธางกูรทั้งห้า ได้รับทราบแห่งความจริงของชีวิตแล้วก็คิดอยากพบแม่ที่แท้จริง จึงไปกราบลาแม่เลี้ยงของตนเพื่อออกเดินทางไปติดตามหาแม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่การไปนั้นจะขอบวชเป็นฤาษีด้วยเพื่อสะดวกต่อการแสวงหา อีกทั้งเพื่อเป็นการบำเพ็ญบารมีด้วย จึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าต่อไป

เหตุการณ์ แห่งหน่อพุทธังกูรทั้งห้า กระทำอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่ต่างก็ได้นัดหมายกันไว้ก่อน ต่างก็กระทำเหมือนกันทุก ๆ อย่าง แม่เลี้ยงทั้งห้า ก็อนุญาตและอวยชัยให้พรให้ไปดีมีสุขสมหวังปราศจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ไป แล้วก็อย่าให้ลับ ขอให้กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้าง ถ้าได้ถึงฝั่งตรัสรู้ธรรมได้เป็นพระโพธิญาณพุทธเจ้าแล้ว แม่ก็ขอฝากชื่อแม่ไว้ด้วย เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์ของแม่ไว้ในวันข้างหน้า ด้วยว่า


  • แม่ไก่ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กุกกุสันธะ”
  • แม่นาคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โกนาคมนะ”
  • แม่เต่าขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กัสสปะ”
  • แม่โคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โคตมะ”
  • แม่ราชสีห์ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า“อริยเมตโตรยะ”

หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งห้าคนก็เดินทางไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าตามสถานที่ของตนเองต่อไป


กล่าวถึง ท้าวสักกเทวราช เมื่อได้ทราบว่าหน่อพุทธางกูรทั้ง5 ออกบวชเป็นฤาษีเดินทางเข้าไปพงไพร จึงตรัสสั่งให้ วิสสุกรรมเทพบุตร ให้ลงไปจัดเตรียมการต้อนรับ

วิสสุกรรมเทพบุตร เมื่อได้รับสั่งเช่นนี้แล้วจึงเหาะลงมายังโลกมนุษย์ตรงไปยังป่าหิมพานต์ ตรงสถานที่หน่อพุทธังกูรเดินทางเข้าไปนั้น แล้วเนรมิตอาศรมทั้งห้าหลังเรียงรายกันไปตามลำดับ ซึ่งจัดตั้งห่างกันไว้พอเหมาะพอควร จัดเครื่องบริขารอันเป็นของใช้สอยสำหรับดาบสทั้งหลาย และได้จัดเตรียมอาหารการกินไว้อย่างครบครัน พร้อมกันนั้นก็ได้เนรมิตต้นไทรใหญ่ให้เป็นที่ร่มเงาร่มเย็นไว้ใกล้อาศรมละ หนึ่งต้น และได้เนรมิตบังลังก์ไว้ด้วย เพื่อจะให้ฤาษีทั้ง5ได้ผักผ่อนคลายอารมณ์ตามเวลาอันควร พร้อมได้จารึกชื่อฤาษีทั้ง 5ไว้ที่หน้าอาศรม

เมื่อหน่อพุทธางกูรทั้ง5แต่ละองค์ต่างก็เดินทางมาถึงอาศรมที่เนรมิตไว้นั้น และได้อ่านคำจารึกที่ได้เขียนไว้ที่อาศรมนั้น ต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากพระอินทร์เป็นผู้สร้างไว้เพื่อตน เมื่อเห็นเครื่องบริขารของดาบสที่จัดเตรียมไว้ จึงได้บวชเป็นฤาษีแล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างจริงจัง ฤาษีทั้ง5ได้บำเพ็ญธรรมกรรมฐานอย่างตั้งใจทำ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตน หลังจากที่ได้พลัดพรากจากกันมาตั้งแต่เป็นไข่นั้น

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้บำเพ็ญตบะไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ฤาษีทั้ง5 ก็ได้ออกมาพักผ่อนตามที่ต่างๆ ด้วยความเบิกบานสำราญใจ จึงมาได้พบกันเข้าโดยบังเอิญที่ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า สิงคุตตระปิฎฐา ใต้ต้นไม้นิโครธอันมีกิ่งก้านสาขาที่ร่มเย็นสบายยิ่งนัก เมื่อได้มีโอกาสต่างก็ไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน พร้อมทั้งความเป็นมา

เมื่อได้ทราบความเป็นมาแห่งชีวิตของแต่ละท่านแล้ว พวกตนทั้ง5 ต่างก็เกิดมาจากไข่เหมือนกัน มีเหตุการณ์ที่จะต้องพลัดพรากจากกัน โดยถูกกระแสน้ำพัดพาที่ต่างกัน แล้วได้อาศัยอยู่กับสัตว์ผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาได้นำเอาเลี้ยงไว้จนมีชีวิต รอดมาได้ พร้อมทั้งได้ออกเดินทางมาบวชเป็นฤาษีในป่านี้ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ ซึ่งเหตุการณ์แห่งชีวิตดังกล่าวเหมือนกันทุกประการ จากนั้นก็ได้จัดเรียงลำดับพี่น้องกันว่าคนที่ตกค้างอยู่หัวน้ำเป็นพี่คนโต คนที่ตกค้างอยู่ใต้แม่น้ำถัดมาก็เป็นน้องถัดกันมาตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้ง5คนได้สันนิษฐานเอาว่า

"พวกตนคงจะเป็นพี่น้องเกิดร่วมท้องมารดาเดียวกัน"

ดังนั้นจึงได้พากันตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
 "จงดลบันดาลให้แม่บังเกิดเกล้าของเราจงมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเราด้วยเถิด "

กล่าวถึงแม่กาเผือก เมื่อกลับมาที่รังของตนแล้ว ไม่เห็นหน้าลูกก็เสียใจอาลัยรักจนขาดใจตาย แล้วไปเกิดเป็น ฆฏิการพรหม ในสวรรค์จนอายุได้ 12,000 ปี ด้วยอานุภาพแห่งอธิษฐานบารมี หลังจากที่ฤาษีทั้ง 5  อธิษฐานแล้วก็ร้อนไปถึงฆฏิการพรหมผู้เป็นแม่ เมื่อเล็งญาณวิถีอันวิเศษลงมายังเมืองมนุษย์แล้ว ได้เห็นลูกชายทั้ง 5 คนได้เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรบารมีอยู่ท่ามกลางป่าหิมพานต์ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นหน้าผู้เป็นแม่ เมื่อรู้ดังนี้แล้วจึงลงจากสวรรค์ จำแลงแปลงกายเป็นสุวรรณราชากาใหญ่ตัวหนึ่งผู้มีปีกหางล้วนขาวงาม มาปรากฎต่อหน้าพระฤาษีทั้ง5 พระองค์ แม่กากล่าวว่า


" ปิยะปุตตะกา ดูกรลูกทั้งห้า เราเป็นแม่ของพวกเจ้า แม่ได้ยินคำอธิษฐานของพวกเจ้า จึงได้ลงมาจากวิมานปราสาททิพย์ มาสู่ร่มไม้นิโคธ"

ขณะนั้นฤาษีทั้ง5องค์จึงปรึกษากันว่า

"เราเกิดมาในชาตินี้ ยังมิได้ทำสิ่งใดทดแทนคุณของแม่ เราขอให้แม่ประทับรอยเท้าไว้ เพื่อเป็นบุญแก่ลูกทั้งหลายในภายภาคหน้า"
ใส้ประทีปตีนกา

แม่กาพูดว่า " สาธุ ความสุขสวัสดีจงมีแก่ลูกทั้งห้าพระองค์ แม่จะประทับรอยเท้าตามใจพวกเจ้า ให้ได้เฝ้ารักษานับแต่บัดนี้ ในภายหน้าให้ลูกกำพร้าบำเพ็ญบุญตอบแทนพระคุณของแม่ โดยให้จัดทำประทีปตีนกาใส่ถ้วยน้ำมันจุดไฟ เอาไว้เป็นที่กราบไหว้บูชา ตราบจนพวกเจ้าได้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในภายหน้า ตีนกาแม่อย่าให้สูญหายให้คงไว้ในชมพูทวีป ความสวัสดีจงมีแก่ผู้กระทำแต่งประทีปตีนกา ขอให้พวกเจ้ารีบเข้าสู่นิพพานอย่าคลาดแคล้วได้สมปราถนามั่นดีแล"

เสร็จแล้วท้าวฆฏิกามหาพรหมก็ลาลูกๆแล้วเสด็จกลับสู่พรหมโลก ฤาษีทั้งห้าจึงได้ปรึกษากันว่า

"สถานที่นี้เป็นที่ประเสริฐกว่าที่อื่นใดทั้งหลาย พวกเราได้พบแม่แห่งเรา ท่านได้ประทับรอยเท้าไว้ให้เป็นสถานอันประเสริฐกว่าในโลกทั้งมวล เราควรปฏิญาณแก่กันใต้ร่มไม้นิโครธที่เป็นศูนย์กลางทั้งหลายว่า ในภายหน้า เราพี่น้องทั้ง5 องค์ ถ้าใครได้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนให้เอาอัฐิบริขารธาตุ หรือธาตุอันใดอันหนึ่งมาบรรจุไว้ ณ สถานที่นี้อันประเสริฐกว่าที่อื่น"

หลังจากนั้นต่างคนต่างก็บำเพ็ญ ประพฤติพรมจรรย์มิได้ขาด พระฤาษีทั้งห้าจะกลับมาพบกันทุกปีในเดือนยี่เป็ง เพื่อจุดประทีปตีนกาบูชาแม่บูชาแม่จนสิ้นอายุขัย แล้วเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆหลายอสงไขยกัปป์



พี่ชายคนโตบารมีพร้อมก่อนจึงบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วก็เป็นน้ององค์ต่อๆมาตามลำดับ จนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันโดยมีพระนามตามแม่เลี้ยงทั้ง5 ดังกล่าว ส่วนน้ององค์สุดท้อง คือพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปมีพระนามว่า " พระศรอาริยะเมตไตรย"



(ท้าวฆฏิการมหาพรหมถือเครื่องอัฐบริขารถวายลูกๆทั้ง5 เมื่อออกบวชเพื่อบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)


ส่วน พระเจดีย์ชเวดากอง ณ ประเทศพม่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อมโยงพระพุทธเจ้าทั้ง5 พระองค์นี้ไว้ด้วยกัน เพราะเจดีย์แห่งนี้เป็นที่ปรดิษฐานของ

1.)ไม้เท้าของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ,


2.)ธมกรกหรือที่กรองน้ำของพระพุทธเจ้าโกนาคมโน,


3.)พระจีวรของพระพุทธเจ้ากัสสโป,และ


4.)พระเกศาธาตุ8พระองค์ของพระพุทธเจ้าโคตโม


พร้อมด้วยพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทะเจ้าทั้ง4พระองค์

และในอนาคตกาลข้างหน้าก็จะมีผู้นำพระมุนีธาตุแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยมาประดิษฐาน ณ พระเจดีย์นี้

หากผู้ใดได้มากราบไหว้บูชาแล้ว แม้ปราถนานิพพานก็จะได้สมดังปราถนามิแคล้วคลาด.

พระเจดีย์ชเวดากอง



ขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูล จาก  E-BOOK
ตอนหนึ่งจากหนังสือ “พระพุทธเจา ๕ พระองค กับโพธิญาณแหงการตื่นรู” ของ วัดปาทุงกุลาเฉลิมราช จ.ร้อยเอ็ดจัดพิมพ์เป็นธรรมทาน และที่ระลึกในงานเททองหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย ในวันที่ 10-12 เมษายน พ.ศ. 2555
http://www.ebooks.in.th/
ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต


3 ความคิดเห็น:

  1. พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก
    ( นะโม 3 จบ )
    พระพุทธังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระธัมมังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    พระสังฆังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก
    นะเปิดบุญ โมเปิดบารมี พุทเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม
    เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล ด้วยนะโมพุทธายะ
    ยะเปิดกรรมดี ธาเปิดงานดี พุทเปิดโชคดี โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี
    เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ด้วยยะธาพุทโมนะ
    นะมะพะธะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ขออำนาจบารมีของพระรัตนตรัย โปรดเชื่อมโยงบุญบารมี ทานบารมี ศีลบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี ปัญญาบารมี วาสนาบารมี ฌาณบารมี ญาณบารมี ทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า จงมารวมกัน ณ ปัจจุบันชาติ และขอพลังบารมีทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้...
    เปิดโลก เปิดจิต เปิดธรรม เปิดด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ

    ( ขั้นต่ำ 3 จบครับ ควรหมั่นสวดเป็นประจำทุกวัน ยิ่งหลายจบยิ่งดี... )

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของพระคาถาได้ที่...
    https://www.facebook.com/5Buddha/

    http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=2689.0

    http://www.cdthamma.com/picture/5Buddha.jpg

    *****



    เขียนโดย nutJung bangkok ถึง ข้อคิดและธรรมะ เวลา 4 พฤศจิกายน 2558 04:55

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วรู้สึกขนลุกและมีความคิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้ากับเค้าบ้าง ขอให้สิ่งที่คิดของข้าพเจ้าเป็นจริงสักวัน ขอให้กรรมดีของข้าพเจ้าดลจิตให้ข้าพเจ้าทำแต่กรรมดี เพื่อที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษยืและสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วยเทอญ

    ตอบลบ