วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อานิสงค์ทำบุญวันสารท (แรม1-15ค่ำ เดือน10) ที่มา


ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารในกรุงรชคฤห์ พระทรงตรัสปรารภพระเจ้าพิมพิสารให้เป็นต้นเหตุ กล่าวคือ ในครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงราชคฤห์วันนั้นท้าวเธอทรงดำริว่า

"มารดาบิดา และญาติทั้งหลายของเราตายไปแล้วจักได้เสวยสุขหรือทุกข์หนอ ? แท้จริงบุคคลที่มีใจบาปกระทำแต่กรรมอันหยาบช้า อกุศลก็ชักนำไปสู่อบาย ส่วนบุคคลที่ขวนขวายในกรรมดีมีสุจริต ครั้นดับจิตลงแล้วก็จะได้ไปสู่สุคติ ส่วนญาติๆของเราพึงมีทุกข์เป็นเบื้องหน้า อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราจักไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า"

ครั้นรุ่งเช้า ท้าวเธอก็ได้จัดแจงเครื่องสักการะแล้วเสด็จไปยังสำนักพระบรมศาสดา ครั้นไปถึงก็บูชาด้วยเครื่องสักการะถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงทูลถามว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มีความปริวิตกว่า มารดาบิดาและหมู่ญาติของข้าพระองค์ผู้ตายไปยังปรโลกแล้วนั้น บางคนก็ ไปสู่ทุคติ บางคนก็ไปสู่สุคติ หากบรรดาญาติของข้าพระองค์ไปทนทุกข์เวทนาอยู่ในทุคติเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำกุศลอะไรอุทิศผลไปให้ พวกญาติจึงจะได้รับผลแห่งบุญนั้นแล้วเสวยสุขสมบัติในโลกสวรรค์’’ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับพระดำรัสของพระเจ้าพิมพิสารดังนั้นแล้วทรงตรัสว่า

“มหาบพิธ ตามที่มหาบพิธรับสั่งมานั้นเป็นคุณประโยชน์มาก คือการที่มหาบพิธจะทำบุญให้ทานแล้วอุทิศผลแก่มารดาบิดาและญาติทั้งหลายนั้น นับว่าเป็นผู้มีน้ำพระทัยประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาคุณ จัดว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอริยทรัพย์ในบวรพุทธศาสนา หากคนทั้งหลายผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกได้พากันขวนขวาย ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาและสดับฟังพระธรรมเทศนา แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ไปให้ผู้ดับชีพวายชนม์ไปสู่ปรโลก มีบิดามารดาเป็นต้น คนทั้งหลายนั้นจะได้รับส่วนบุญกุศลโดยพลัน เพราะสัตว์ทั้งหลายที่ไปเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกจะเป็นกี่ชาติกี่ปีก็ตาม คั้นถึงวันสารท คือเดือนสิบตั้งแต่ แรม1ค่ำ ถึงแรม15ค่ำ นายนิรยบาลทั้งหลายจะปล่อยสัตว์นรกขึ้นมายังมนุษย์โลก เพื่อจะได้รับโมทนาสาธุการ รับเอาส่วนกุศลที่ญาติของตนอุทิศไปให้ ซึ่งสามารถช่วยให้พ้นทุกข์ ได้ไปเสวยสุขในสวรรค์เทวโลก เพราะฉะนั้นเปรตทั้งหลายที่เป็นบิดามารดาและญาติก็จะแล่นมาหาญาติพี่น้องลูกหลานของตนทุกแห่งหนในมนุษย์โลก ครั้นมิได้เห็นญาติพี่น้องลูกหลานของตนทำบุญ ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนาและฟังธรรมเทศนาตลอดจนมิได้เห็นลูกหลานบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ต่างก็พากันเดือดร้อน ร้องไห้รำพันด้วยประการต่างๆมีคำว่า “ พี่น้องลูกหลานของเราช่างไม่มีความเมตตากรุณาเสียเลย เราอุตส่าห์พยายามเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ ถึงเดือนสารทแต่ละทีๆ พวกเขาก็มิได้มาทำบุญให้ทานฯลฯ... แผ่ส่วนกุศลไปให้เราเลย เราต้องทนทุกข์เวทนาดังเก่า” ดังนี้เป็นต้น.

ส่วนเหล่าสัตว์นรกที่ได้เห็นพี่น้องลูกหลานของตน ทำบุญให้ทานรักษาศีลห้า ศีลแปด ตลอดจนได้บวชลูกหลานไว้ในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ต่างก็พากันยินดีชื่นชมโสมนัสว่า “ คราวนี้เราพ้นจากความเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไดไปเสวยสุขสมบัติในโลกสวรรค์ ด้วยเหตุที่ญาติพี่น้องลูกหลานของเราได้ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้เรา” ดังนี้ ครั้นแล้วต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการและประสาทพรแก่ลูกหลาน ขอให้มีความสุขความเจริญทั้งโลกนี้และโลกหน้า

พวกที่มิได้เห็นลูกหลานทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ ต่างพากันแช่งด่าด้วยถ้อยคำมีประการต่างๆ เป็นต้นว่า  “ สูเจ้าทั้งหลายจงประสบภยันตรายต่างๆ เช่น ทรัพย์สินที่หามาได้จงอันตรธานสูญหายไป ครั้นตายแล้วขอให้พวกสูเจ้าไปตกมหานรก ทนทุกขเวทนาตลอดกาลนาน เพราะการที่เจ้าทั้งหลายมิได้สนใจทำบุญให้ทาน รักษาศีลห้า ศีลแปด เจริญเมตตาภาวนาแต่อย่างใด เป็นคนประมาทมัวเมา มิได้นำพาเอาใจใส่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ดังนี้เป็นต้น

ครั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงสดับพระธรรมเทศนาดังนี้แล้วก็มีพระทัยโสมนัสยินดีเสด็จนิวัติสู่พระราชวัง มีรับสั่งให้จัดแจงวัตถุไทยทานและให้ป่าวประกาศไปยังชาวเมืองให้พากันทำบุญให้ทาน ชาวเมืองต่างจัดแจงไทยทานอันปราณีต แล้วพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ข้าราชบริพารเสด็จไปยังพระเวฬุวันมหาวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาต อังคาสพระสงฆ์มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน เสร็จแล้วได้ทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงพระธรรมเทศนา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสพระคาถามีใจความว่า

“ ให้ประชาชนทั้งหลายพากันทำบุญ ให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา แล้วอุทิศส่วนกุศลผลบุญส่งไปให้แก่เปรตชน เมื่อเปรตชนเหล่านั้นได้รับส่วนกุศลและอนุโมทนาด้วยความปลื้มปีติแล้ว จะได้เสวยสุขสมบัติในวิมานทองในแดนสวรรค์เทวโลกสืบต่อไป ส่วนผู้ที่ญาติมิได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ก็จะต้องกลับไปเสวยทุกขเวทนาในนรกด้วยอำนาจผลแห่งกรรมชั่วในขณะที่เป็นมนุษย์ นับว่าเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก”

ส่วนผู้ที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ได้จัดไทยทานมาถวายแก่พระสงฆ์ผู้ทรงศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา อุตสาหะบำเพ็ญทานบารมี ก่อสร้างกองกุศลโดยไม่ประมาทในชีวิตความเป็นอยู่ของตน แม้ว่าได้ดับชีพวายชนม์จากมนุษย์โลก ก็จะได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาในสวรรค์ จะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติในวิมานทองคำด้วยอำนาจกุศลบุญราศรีที่ตนได้บำเพ็ญในเดือนสารทแล้วอุทิศไปให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลายของตน โดยเป็นผู้ประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรม ย่อมอำนวยประโยชน์โสตถิผลแก่ตนและเปรตชนผู้ล่วงลับไปเป็นอันดี ดังที่พระเจ้าพิมพิสารทรงกระทำเป็นตัวอย่าง

เปรตพระญาติพิมพิสารราชา

เปรตพระญาติพิมพิสารราชา


ครั้งพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “พระปุสสะ” บรมโลกนาถ ปรากฏในโลก ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารเกิดเป็นขุนคลัง รับจัดการถวายทานแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระปุสสะพุทธเจ้าเป็นประมุข ตามพระบัญชาของพระกุมารสามพระองค์ ผู้เป็นนายขุนคลังนั้น ครั้นรับหน้าที่ใหญ่ ต้องจัดการเลี้ยงพระสงฆ์มากมายทุกวัน จึงไปเรียกเอาญาติของตนหลายคนมาช่วยทำงานในโรงครัว และช่วยเลี้ยงพระ คนพวกนี้มาทำงาน ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่ แต่พอหลายวันผ่านไปชักเกิดความประมาทขึ้น แอบบริโภคอาหารก่อนพระสงฆ์บ้าง แอบนำอาหารที่เขาทำไว้เพื่อถวายพระสงฆ์ไปให้แก่บุตรภรรยาของตนที่บ้านบ้าง ทำอยู่ดังนี้เป็นนิจเสมอมา ตามวิสัยของคนโลภ ซึ่งเป็นผู้ท้าทาย ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ ครั้นถึงคราวตาย พระราชกุมารทั้งสามกับขุนคลังก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์ แต่ว่าพวกคนโลภเหล่านั้นต้องลงไปเกิดในนรกสิ้นกาลนาน ครั้นพ้นโทษจากนรกแล้วจึงเกิดในเปรตวิสัย ครั้งสุดท้ายบังเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต คือ เปรตประเภทที่กำลังพูดถึงอยู่นี้    เปรตพวกนี้ต้องหิวโหยอดอยากอยู่นาน เพราะไม่มีใครทำบุญอุทิศให้

ครั้นล่วงไปถึงสมัยแห่งสมเด็จพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้ ประชาชนได้ฟังเทศน์รู้ธรรมแล้ว เกิดปัญญา รู้จักบำเพ็ญบุญละบาป ทำใจให้สงบ จึงก่อสร้างกองการกุศล ทำบุญสุนทรทาน แล้วแผ่ส่วนกุศลราศีไปถึงญาติๆของตนในเปรตวิสัย เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติของใคร ครั้นเขาแผ่ส่วนบุญไปให้ ต่างก็ดีเนื้อดีใจ ยกมือขึ้นท่วมหัวอนุโมทนา สาธุการส่วนบุญ ! ก็พ้นจากเปรตวิสัยในโลกเปรต ไปเกิดในภูมิอื่นตามแต่ยถากรรมเนื่องจากว่าเปรตทั้งหลายผู้เป็นญาติขุนคลัง ครั้นเห็นหมู่เพื่อนเปรตของตนได้ส่วนบุญจากญาติ พ้นทุกข์ไปตามๆ กันเช่นนั้น แต่ว่าตนไม่มีใครอุทิศให้ ยังต้องเป็นเปรตอยู่ตามเดิม ก็มีความน้อยใจ เสียใจอย่างสุดซึ้ง ! ในที่สุดถึงกับพากันไปเฝ้าสมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า

“ข้าพระบาททั้งหลายจักได้อาหาร และจักพ้นจากภาวะความเป็นเปรตนี้เมื่อไหร่หนอ ? พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงมีพุทธฎีกา ตรัสว่า

“ในศาสนาของเรานี้ ท่านจักยังไม่พ้นก่อน ! ต่อเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้วนานแสนนาน แผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าทรงข้ามพ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสารอย่างสง่างาม พระนามว่า “โกนาคมน์” จักมาตรัสรู้ในโลกนี้ ขอท่านทั้งหลายจงคอยเข้าไปถาม พระโกนาคมน์ นั้นเถิด

ครั้นศาสนาแห่งพระกกุสันโธ เสื่อมสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมน์ก็อุบัติขึ้นในโลก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นจึงเข้าไปทูลถามพระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาจึงพุทธฎีกาตรัสว่า

“แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรตวิสัย ต่อเมื่อเรานิพพานไปแล้วแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า “กัสสโป” จักมาตรัสรู้ในโลกนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงอดใจรอ คอยถามพระกัสสโปนั้นเถิด”


เปรตทั้งหลาย ! ก็อดกลั้นเสีย ซึ่งความอยากพยายามอดทน ต่อความลำบากหิวโหยอยู่ตลอดกาลนาน จนกระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “กัสสโป” มาเสด็จอุบัติตรัสรู้ในโลกนี้ จึงพากันเข้าไปเฝ้าทูลถามพระองค์จึงทรงมีพระมหากรุณาตรัสบอกว่า


“แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรตวิสัย ยังไม่ได้รับส่วนบุญ ต่อเมื่อเราเข้าสู่นิพพานแล้ว แผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” บรมโลกุตมาจารย์ผู้ยังชนให้ชื่นชมยินดี มาตรัสรู้ในโลก


ในครั้งนั้นจักมีขิตติยาธิบดี ผู้เป็นญาติเก่าของท่านทั้งหลายพระนามว่า “พิมพิสาร” จะถวายทานแล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่บุญทานให้แก่ท่านๆ ก็จะพ้นจากเปรตวิสัยแลจักได้บริโภคอาหารในกาลครั้งนั้น”ครั้นสมเด็จพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้ เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีเนื้อดีใจราวกับว่าตนจะได้ในวันพรุ่ง ยับยั้งอยู่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง


ครั้นถึงพุทธุปบาทกาลนี้พระสมณโคดมบรมครูของเรามาตรัสรู้ในโลก โปรดพระเจ้าพิมพิสารให้ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล ตั้งอยู่ในอจลศรัทธา มีความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยแล้ว ท้าวเธอก็ทรงจัดแจงเครื่องบิณฑบาตถวายแด่พระพุทธองค์ พร้อมกับพระสงฆ์แล้ว ก็หาได้ทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไม่ เพราะขัตติยาบดี มีพระทัยวุ่นวายไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ทรงครุ่นคิดอยู่เพียงว่า จะก่อสร้างพระคันธกุฎีถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันล้ำเลิศประเสริฐสุดได้อย่างไร ? เป็นเหตุให้ทรงลืมที่จะแผ่ส่วนพระราชกุศล


ปรทัตตูชีวีเปรตพวกนั้นมารอตั้งนานแล้ว เพราะพุทธดำรัสแห่งพระกัสสปสัมพุทธเจ้า ยังก้องอยู่ในโสตแห่งตนว่าจะพ้นเปรตวิสัย ! ได้บริโภคข้าวปลาอาหารในสมัยที่พระเจ้าพิมพิสาร ทำกุศลทานในศาสนาของพระสมณโคดมของเรานี้ จึงต่างก็หวังอยู่เต็มที่ดีเนื้อดีใจว่า “เวลาวันนี้จักได้ส่วนบุญ”

จึงพากันมาคอยอยู่โดนรอบพระราชนิเวศน์ เพื่อจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศล ครั้นเห็นพระองค์ทรงเฉย ไม่อุทิศให้แต่ประการใดก็เศร้าใจยิ่งนัก ผิดหวังไม่สมความคิดที่รอมานานนักหนา ! ในเวลากลางคืนจึงพากันร้องโอดโอย สำแดงอาหารหิวโหยด้วยสำเนียงเปรตให้ได้ยินเฉพาะแต่องค์พิมพิสารราชา เมื่อพระองค์ได้สดับเสียงเปรตก็ทรงสะดุ้งจิตตกพระทัยเป็นกำลัง รุ่งเช้าจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า


“ข้าพระบาทได้สดับเสียงอันดังพิลึกพิลั่นน่าสยดสยองดังนี้ เหตุผลจะมีดังฤา”“ดูกรบพิตร ! พระราชสมภาร อย่าได้ทรงกลัวเลย ลามกอันใดอันหนึ่งจะได้บังเกิดแก่พระองค์นั้นหามิได้ สำเนียงที่ทรงสดับนั้นเป็นเสียงฝูงเปรตผู้เป็นญาติของพระองค์ อดอยากมาช้านาน มาคอยรับส่วนกุศลอันบพิตรพระราชสมภารบำเพ็ญแล้ว อุทิศให้ ครั้นมิได้รับส่วนกุศลสมดังที่ตนปรารถนา จึงมาร้องทวงเอาด้วยเสียงอันดัง”


ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธฎีกาดังนี้ องค์ขัตติยาธิบดีจึงทูลเกล้าถวายน้ำทักขิโณทก แล้วอุทิศส่วนกุศลว่า 


อิทังโน ญาตีนัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโญ ขอผลทานทั้งหลายเหล่านี้จงสำเร็จแก่ปวงญาติทั้งหลายของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด”




สระโบกขรณีเดียรดาษ ด้วยปทุมชาติทั้งหลายก็ปรากฏเกิดขึ้นแก่เหล่าเปรต ในขณะมาตรว่าพระองค์ออกพระโอษฐ์อุทิศจบลง 



เปรตทั้งหลายต่างก็ดีใจพากันลงอาบดื่มกินน้ำในสระโบกขรณี สรีระเนื้อตัวมีสีดังทอง ความหิวกระหายระงับไปหมดสิ้น สมเด็จพระภูมินทร์จึงถวายข้าวยาคู ข้าวสวย และสรรพาหาร แล้วอุทิศให้ โภชนาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตทั้งหลาย ต่อมาเมื่อขัตติยาบดีถวายผ้าเสนาสนะคันธกุฎี แล้วทรงอุทิศให้ ผ้าทิพย์และวิมาน ก็บังเกิดขึ้นแก่เขา ตามจำนวนวัตถุทานที่ทรงอุทิศ

เมื่อได้อนุโมทนาด้วยกุศลจิต อันเป็นส่วนหนึ่งของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (มีทาน ศีล ภาวนา และการอ่อนน้อม การช่วยขวนขวายในบุญ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนา การฟังธรรม การแสดงธรรม การทำความเห็นให้ตรง) เกิดเป็นปัตตานุโมทนามัย คือ บุญกุศลอันเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญที่คนอื่นทำแล้วอุทิศให้แก่ตน เปรตทั้งหลายก็พ้นจากเปรตวิสัยภูมิโลกเปรต เปลี่ยนเพศไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เสวยสุขสำราญรื่นเริงยิ่งนักในสรวงสวรรค์ ผลบุญจะสำเร็จแก่เขา คือ๑.     ทานที่พวกญาติทั้งหลาย และหมู่มิตรในมนุษย์โลกนี้ บำเพ็ญทานโดยถวายแด่ท่านผู้มีศีล ถวายแด่สงฆ์ โดยไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเรียกว่า “สังฆทาน”๒.     ครั้นเขาถวายแล้ว ต้องอุทิศกุศลให้เปรต๓.     เปรตตนนั้นต้องมาคอยรับส่วนบุญกุศล แล้วมีจิตอนุโมทนา ผลบุญจึงสำเร็จแก่พวกปรทัตตูปชีวีเปรต

ที่มา http://thammadeedee.blogspot.com/2011/03/blog-post_07.html