วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๘ ตอนจบ

นาคเป็นอันมากผู้มาเยี่ยมเยียน พระมหาสัตว์ฟังถ้อยคำนั้นของกาณาริฏฐะนั้นแล้ว ก็พลอยถือเอาผิด ๆ ด้วยคิดว่า กาณาริฏฐะพูดแต่ความจริงเท่านั้น

พระมหาสัตว์นอนป่วยอยู่ ได้ฟังคำนั้นทั้งหมดแล้ว ทั้งพวกก็มาแจ้งให้ท่านทราบอีก ลำดับนั้นท่านคิดว่า อริฏฐะพรรณนาทางผิด ๆ เอาเถอะเราจะทำลายวาทะของกาณาริฏฐะนั้นแล้วจักกระทำบริษัทให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านลุกขึ้นอาบน้ำ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง นั่งบนธรรมาสน์ สั่งให้นาคบริษัททั้งหมดประชุมกัน ให้เรียกกาณาริฏฐะมาแล้วกล่าวว่า เจ้ากล่าวสรรเสริญสิ่งที่ไม่จริงคือ เวท ยัญ และพราหมณ์ทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่า การบูชายัญด้วยวิธีเวทของพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐเลย และไม่ใช่เป็นทางแห่งสวรรค์ เราจะชี้ข้อไม่เป็นจริงในวาทะของท่าน ดังนี้แล้ว



เมื่อจะเริ่มชื่อวาทะอันว่าด้วยประเภทแห่งยัญจึงกล่าวว่า

ดูก่อนอริฏฐะ ความกาลีคือความปราชัยของนักปราชญ์ทั้งหลายกลับเป็นความมีชัยของคนโง่เขลา ผู้ทรงเวท ไตรเพทเป็นเหมือนอาการของพยับแดดเพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป มีคุณทางหลอกลวง พาเอาคนมีปัญญาไปไม่ได้ ไตรเพทมิได้มีเพื่อป้องกันคนผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ล้างผลาญความเจริญ เหมือนไฟที่คนบำเรอแล้ว ย่อมป้องกันโทสจริตทำกรรมชั่วไม่ได้ ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมดพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าให้ไฟเผา ไฟอันมีเดชไม่มีใครเทียม เผาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็ไม่อิ่ม ใครจะพึงทำให้ไฟซึ่งรู้รส ๒ อย่าง ให้อิ่มได้ นมสดแปรไปได้เป็นธรรมดาคือแปรเป็นนมส้ม แล้วเป็นเนยข้นฉันใด ไฟก็มีความแปรเป็นธรรมดาฉันนั้น ไฟประกอบด้วยความเพียร (ในการสีไฟ) จึงจะเกิดได้ ไม่เคยได้เห็นไฟเข้าไปอยู่ในไม้แห้งและไม้สด คนสีไฟไม่สีไฟก็ไม่เกิด ไฟไม่เกิดเพราะไม่มีคนทำให้เกิด ถ้าแหละไฟพึงอยู่ภายในไม้แห้งและไม้สด ป่าทั้งหมดในโลกก็จะพึงแห้งไป และไม้แห้งก็จะพึงลุกโพลง

ถ้าคนทำบุญได้โดยเอาไม้และหญ้าให้ไฟกิน คนเผาถ่าน คนหุงเกลือ พ่อครัว และคนเผาศพ ก็จะพึงได้ทำบุญ ถ้าแม้พราหมณ์เหล่านี้ทำบุญได้เพราะการเลี้ยงไฟเพราะเรียนมนต์ เพราะเลี้ยงให้อิ่มหนำ ในโลกนี้ใคร ๆ ผู้เอาของให้ไฟกิน จะชื่อว่าทำบุญหาไม่ เพราะเหตุไรเล่า เพราะไฟเป็นสิ่งอันโลกยำเกรง รู้รสสองอย่างพึงกินได้มาก ทั้งเป็นของเหม็น มีกลิ่นอันไม่น่าฟูใจ คนเป็นอันมากไม่ชอบ พวกมนุษย์ละเว้น และเป็นของไม่ประเสริฐ คนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขุนับถือน้ำเป็นเทวดา คนเหล่านี้ทั้งหมดนี้พูดผิด

ไฟไม่ใช่เทพเจ้าตนใดตนหนึ่ง และน้ำไม่ใช่เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง โลกบำเรอไฟซึ่งไม่มีอินทรีย์ ไม่มีกายจะรู้สึกได้ ส่องแสงสว่างเป็นเครื่องทำการงานของประชาชน เมื่อยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติได้อย่างไร พวกพราหมณ์ผู้ต้องการเลี้ยงชีวิตในโลกนี้กล่าวว่า พระพรหมครอบงำได้ทั้งหมด และว่าพระพรหมบำเรอไฟ พระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง และมีอำนาจไม่มีใครสร้าง กลับไปไหว้ไฟที่ตนสร้างเพื่อประโยชน์อะไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะเยาะไม่ควรแก่การเพ่งเล็ง ไม่เป็นความจริง พวกพราหมณ์ในปางก่อนก่อขึ้นไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อลาภและสักการะเกิดขึ้น จึงร้อยกรองยัญพิธีว่าเป็นธรรมสงบระงับ ด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ

พวกพราหมณ์ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง ๔ เข้าถึงการงานตามที่อ้างมา เฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจจัดไว้ ถ้าคำนี้พึงเป็นคำจริงเหมือนดังที่พวกพราหมณ์กล่าวไว้ คนที่ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่พึงได้ราชสมบัติ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่พึงศึกษามนต์ คนนอกจากแพศย์ไม่พึงทำการไถนาเลย และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น เพราะคำนี้เป็นคำไม่จริง เป็นคำเท็จ พวกคนหาเลี้ยงท้องกล่าวไว้ คนไม่มีปัญญาหลงเชื่อบัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นด้วยตนเอง เพราะพวกกษัตริย์ย่อมเก็บส่วยจากพวกแพศย์ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ถือศัสตราเที่ยวฆ่าสัตว์ เพราะเหตุไร พระพรหมจึงไม่ทำโลก อันแตกต่างกันเช่นนั้นให้ตรงเสีย

ถ้าพระพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญ ในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ทำไมจึงจัดโลกทั้งปวงให้มีความทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำโลกทั้งปวงให้มีความสุข ถ้าพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ เหตุไรจึงทำโลกโดยไม่เป็นธรรม คือมารยาและเจรจาคำเท็จมัวเมา ถ้าพระพรหมนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตอยุติธรรม เมื่อธรรมมีอยู่พรหมนั้นก็จัดไม่เที่ยงธรรม ตั๊กแตน ผีเสื้อ งู แมลงภู่ หนอนและแมลงวัน ใครฆ่าแล้วย่อมบริสุทธิ์ ธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ของพระอริยะ เป็นธรรมผิด ๆ ของชาวกัมโพชรัฐเป็นอันมาก

บัดนี้ พระภูริทัตเมื่อจะแสดงความไม่จริงแห่งธรรมเหล่านั้นจึงกล่าวเป็นว่า ถ้าแหละคนฆ่าเขาแล้วย่อมบริสุทธิ์ และผู้ถูกฆ่าย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พวกพราหมณ์ก็พึงฆ่าพวกพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ หรือพึงฆ่าพวกที่หลงเชื่อถ้อยคำ ของพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ พวกเนื้อ ปศุสัตว์และโคตัวไหน ๆ ไม่ได้อ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลยล้วนแต่ดิ้นรนต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชนทั้งหลายย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์เข้าผูกที่เสายัญ พวกคนพาล ย่อมยื่นหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญ เป็นที่ผูกสัตว์ด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ว่า เสายัญนี้จะให้สิ่งที่น่าใคร่แก่ท่าน ในโลกหน้า จะเป็นของยั่งยืนในสัมปรายภพ

ถ้าว่าบุคคลพึงได้แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือกทรัพย์ เงิน ทอง ที่เสายัญ ในไม้แห้ง และไม้สดไซร้อนึ่ง เสายัญจะพึงให้ สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์ได้ พราหมณ์เท่านั้นพึงบูชายัญ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ก็จะไม่พึงให้พราหมณ์บูชายัญอะไร ๆ เลย แก้วมณีสังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง จักมีที่เสายัญ ที่ไม้แห้ง ที่ไม้สด ที่ไหน เสายัญจะพึงให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวง ในไตรทิพย์ที่ไหน พราหมณ์เหล่านี้เป็นคนโอ้อวด หยาบช้า โง่เขลา โลภจัดยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ว่า จงถือเอาไฟมา และจงให้ทรัพย์แก่เรา แต่นั้นท่านให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงแล้ว จักมีความสุข พวกที่โกนผมโกนหนวดและตัดเล็บ พาพระราชาหรือมหาอำมาตย์เข้าไปในโรงบูชาไฟ ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ย่อมถือเอาทรัพย์ด้วยเวท พวกพราหมณ์ผู้โกหก พอหลอกลวงได้คนหนึ่งก็มาประชุมกินกันเป็นอันมากเหมือนฝูงกาตอมนกเค้า หลอกเอาจนเกลี้ยงแล้ว เก็บไว้ที่บริเวณบูชายัญ พวกพราหมณ์ลวงผู้นั้นได้คนหนึ่งอย่างนี้แล้ว ก็พากันมาเป็นอันมาก ใช้ความพยายามล่อหลอกพรรณนา ด้วยสิ่งที่ไม่แลเห็นปล้นเอาทรัพย์ที่แลเห็นไป เหมือนพวกราชบุรุษที่พระราชาสอนให้เก็บส่วย เก็บเอาทรัพย์ของพระราชาไปฉะนั้น

ดูก่อนอริฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้นเป็นเหมือนโจร ไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นผู้ควรจะฆ่าเสีย แต่ไม่มีใครฆ่าในโลก พวกพราหมณ์กล่าวว่า ไม้ทองหลางเป็นแขนขวาของพระอินทร์ จึงตัดเอาไม้ทองหลางมาใช้ในยัญนี้ ถ้าคำนั้นเป็นคำจริง พระอินทร์ก็แขนขาด ทำไมพวกพระอินทร์จึงชนะพวกอสูร ด้วยกำลังแขนนั้นได้ คำนั้นเป็นคำเท็จ พระอินทร์ยังมีแขนพร้อมเป็นเทวดาชั้นดีเลิศ ไม่มีใครฆ่าได้ กำจัดอสูรได้มนต์ของพราหมณ์เหล่านี้เหลวเปล่า หลอกลวงกันให้เห็นได้เฉพาะในโลกนี้

ภูเขามาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุภูเขาเหล่านี้และภูเขาใหญ่อื่น ๆ ที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา อิฐเช่นนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่างอื่น ไม่หวั่นไหว เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นหิน ไม่ใช่อิฐ เป็นหินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ ที่พวกพราหมณ์สรรเสริญยัญกล่าวไว้ว่า ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้

ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้

แม่น้ำพัดเอาพราหมณ์ ผู้เรียนเวท ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมีรสไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลายในมนุษย์โลกนี้ ที่เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่ใช่เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นดื่มไม่ได้ เป็นน้ำรู้รสสองอย่าง ครั้งดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ปฐมกัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้นก่อน โดยธรรมแม้นั้น ใคร ๆ ไม่เลวไปกว่าใคร ท่านกล่าวจำแนกส่วนไว้อย่างนี้ แม้ลูกคนจัณฑาลก็พึงเรียนเวท สวดมนต์ได้ (ถ้า) เป็นคนฉลาด มีความคิด หัวของเขาก็ไม่พึงแตกเจ็ดเสี่ยง มนต์เหล่านี้พวกพรหมสร้างไว้เพื่อฆ่าตน เป็นการสร้างแต่ปาก เป็นการสร้างยึดถือไว้ด้วยความโลภ เปลื้องได้ยาก เข้าถึงคลอง ด้วยคำของพวกพราหมณ์ ผู้แต่งกาพย์กลอน จิตของพวกคนโง่ ยังหลงใหลในทางลุ่ม ๆ ดอน ๆ คนไม่มีปัญญาเชื่อเอาจริงจัง ราชสีห์ เสีอโคร่ง เสือเหลือง มีกำลังอย่างลูกผู้ชาย พราหมณ์ไม่มีกำลังเช่นนั้นเลย ความเป็นมนุษย์ของพราหมณ์เหล่านั้น พึงเห็นเหมือนของโค ชาติของพราหมณ์เหล่านั้นเท่านั้นไม่มีใครเสมอ สิ่งอื่น ๆ เสมอกันหมด

ถ้าแหละพระราชาทรงชำนะหมู่ศัตรูได้ โดยลำพังพระองค์เอง ประชาราษฏร์ของพระราชานั้นพึงมีสุขอยู่เสมอ มนต์ของกษัตริย์ และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ถ้าไม่วินิจฉัยความแห่งมนต์ และไตรเพทนั้นก็ไม่รู้ เหมือนทางที่น้ำท่วม มนต์ของกษัตริย์และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ลาภ ไม่มีลาภยศ ไม่มียศ ทั้งหมดเทียวเป็นธรรมดาของวรรณะทั้ง ๔นั้น พวกคฤหบดี ใช้คนจำนวนมากให้ทำการงานในแผ่นดิน เพราะเหตุแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก ฉันใดแม้พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรเพท ก็ฉันนั้น ย่อมใช้คนเป็นจำนวนมาก ให้ทำการงานในแผ่นดิน ในวันนี้พราหมณ์เหล่านั้นเสมอกันกับคฤหบดี มีความขวนขวายประกอบในกามคุณเป็นนิตย์ ใช้คนจำนวนมากให้ทำการงานในแผ่นดินเหมือนกัน พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้รู้รสสองอย่าง หาปัญญามิได้

พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายวาทะของพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ให้ตั้งวาทะของพระองค์ด้วยประการฉะนี้ นาคบริษัททั้งหมดนั้น ได้ฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ก็พากันเกิดโสมนัส ฝ่ายพระมหาสัตว์จึงสั่งให้นาคบริษัท นำพราหมณ์เนสาทออกไปจากนาคพิภพ แม้เพียงการบริภาษก็มิได้กระทำแก่พราหมณ์นั้น

จบยัญญเภทกัณฑ์

ฝ่ายพระเจ้าสาครพรหมทัต มิได้ล่วงเลยวันที่ทรงกำหนดไว้ เสด็จไปยังพระตำหนักของพระราชบิดา พร้อมด้วยจตุรงคเสนา ส่วนพระมหาสัตว์ก็สั่งให้ตีกลองร้องประกาศว่า เราจะไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลุง และพระเจ้าตาของเราแล้วก็เสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนาด้วยสิริอันงามเลิศ มุ่งไปยังอาศรมบทนั้น พี่น้องนอกนั้นกับชนกชนนี ก็ติดตามไปเบื้องหลัง ในขณะนั้น พระเจ้าสาครพรหมทัต ทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์ ผู้มากับนาคบริษัทเป็นอันมากทรงจำไม่ได้ จึงทูลถามพระราชบิดา

พระดาบสผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญา ถูกพระเจ้าสาครพรหมทัต ผู้เป็นโอรสทูลถามอย่างนี้ จึงบอกว่า ดูก่อนพ่อ ผู้ที่มาเหล่านั้น คือนาคลูกท้าวธตรฐ หลานของเจ้า

เมื่อพระราชฤๅษี และพระเจ้าสาครพรหมทัต ตรัสอยู่อย่างนี้ นาคบริษัททั้งหลาย จึงพากันถวายบังคมบาทพระดาบส แล้วนั่ง ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายนางสมุททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดา และพระราชภาดาแล้ว ก็ปริเทวนากรรแสงไห้ แล้วก็พานาคบริษัทกลับไปยังนาคพิภพ

ฝ่ายพระเจ้าสาครพรหมทัตประทับ ณ ที่นั้นนั่นเอง สองสามวันจึงถวายบังคมลา ขมาพระราชบิดาแล้วก็กลับยังกรุงพาราณสี นางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพในนาคพิภพนั้นนั่นเอง

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ก็รักษาศีลอยู่จนตลอดชีวิต ในที่สุดแห่งชนมายุก็ได้ดำเนินไปในทางสวรรค์ กับนาคบริษัท

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า"ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย โบราณบัณฑิต เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ก็ยังทรงสละนาคสมบัติเห็นปานนี้ กระทำอุโบสถกรรมดังนี้ จึงประชุมชาดกว่ามารดาบิดา (ของพระภูริทัต) ในกาลนั้น ได้มาเป็นศากยราชตระกูล พราหมณ์เนสาทมาเป็นพระเทวทัต โสมทัตมาเป็นพระอานนท์ นางอัจจิมุขี มาเป็นนางอุบลวรรณา สุทัสสนะเป็นพระสารีบุตร สุโภคะมาเป็นพระโมคคัลลานะ กาณาริฏฐะ มาเป็นสุนักขัตตลิจฉวี ภูริทัตมาเป็นเราผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง"

คติธรรม : บำเพ็ญศีลบารมี

"ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณ แต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล้ว "

จบบริบูรณ์
ขอบพระคุณที่มา facebook

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๗

สุโภคกัณฑ์

เมื่อพระมหาสัตว์ถึงนาคพิภพเสียงร่ำไรรำพันก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายพระภูริทัตเหน็ดเหนื่อยเพราะเข้าอยู่ในกระโปรงถึงหนึ่งเดือน จึงเลยนอนเป็นไข้ มีพวกนาคมาเยี่ยมนับไม่ถ้วน พระภูริทัตนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะปราศรัยกับนาคเหล่านั้น กาณาริฏฐะ ซึ่งยังไปเทวโลกครั้นไม่พบพระมหาสัตว์ก็กลับมาก่อน ลำดับนั้น ญาติมิตรของพระมหาสัตว์เห็นว่ากาณาริฏฐะนั่นเป็นผู้ดุร้ายหยาบคายสามารถจะห้ามนาคบริษัทได้ จึงให้กาณาริฏฐะเป็นผู้เฝ้าประตูห้องบรรทมของพระมหาสัตว์

ฝ่ายสุโภคะก็เที่ยวไปทั่วหิมพานต์ จากนั้นจึงตรวจตราต่อไป ตามหามหาสมุทรและแม่น้ำนอกนั้น แล้วตรวจตรามาถึงแม่น้ำยมุนา

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทเห็นอาลัมพายน์เป็นโรคเรื้อนจึงคิดว่า เจ้านี่ทำพระภูริทัตให้ลำบากจึงเกิดเป็นโรคเรื้อน ส่วนเราก็เป็นคนชี้พระภูริทัตผู้มีคุณแก่เรามากให้อาลัมพายน์ด้วยอยากได้แก้ว กรรมชั่วอันนั้นคงจักมาถึงเรา เราจักไปยังแม่น้ำยมุนาตลอดเวลาที่กรรมนั้นจะยังมาไม่ถึง แล้วจักกระทำพิธีลอยบาปที่ท่าปยาคะ เขาจึงไปที่ท่าน้ำปยาคะแล้วกล่าวว่า เราได้ทำกรรมประทุษร้ายมิตรในพระภูริทัต เราจักลอยบาปนั้นไปเสีย ดังนี้แล้วจึงทำพิธีลงน้ำ

ขณะนั้น สุโภคะไปถึงที่นั้น ได้ยินคำของพราหมณ์เนสาทนั้นจึงคิดว่าได้ยินว่าตาคนนี้บาปหนา พี่ชายของเราให้ยศศักดิ์มันมากมายแล้ว กลับไปชี้ให้หมองู เพราะอยากได้แก้ว เราเอาชีวิตมันเสียเถิด ดังนี้แล้วจึงเอาหางพันเท้าพราหมณ์ทั้งสองข้าง ลากให้จมลงในน้ำ พอจวนจะขาดลมหายใจจึงหย่อนให้หน่อยหนึ่ง พอพราหมณ์โผล่หัวขึ้นได้ก็กลับลากให้จมลงไปอีก ทรมานให้ลำบากอย่างนี้อยู่หลายครั้ง พราหมณ์เนสาทโผล่หัวขึ้นได้จึงกล่าวว่า น้ำที่โลกสมมติว่าสามารถลอยบาปได้ มีอยู่ที่ท่าปยาคะ ภูตผีอะไรฉุดเราลงสู่แม่น้ำยมุนาอันลึก

ลำดับนั้น สุโภคะ ได้กล่าวกะพราหมณ์เนสาทนั้นด้วยคาถาว่านาคราชนี้ใดเป็นใหญ่ในโลก เรืองยศ พันกรุงพาราณสีไว้โดยรอบ เราเป็นลูกของนาคราชผู้ประเสริฐนั้น ดูก่อนพราหมณ์ นาคทั้งหลายเรียกเราว่าสุโภคะ

ลำดับนั้น พราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เป็นพี่น้องของพระภูริทัตจักไม่ไว้ชีวิตเรา อย่ากระนั้นเลย เราจะยกยอเกียรติคุณของนาคนี้ทั้งมารดาและบิดาของเขา ให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิตเราไว้ ดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า ถ้าท่านเป็นโอรสของนาคราชผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระราชาของชนชาวกาสี พระชนกของท่านเป็นใหญ่คนโตผู้หนึ่ง และพระชนนีของท่านก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมู่มนุษย์ ผู้มีอานุภาพมากเช่นท่าน ย่อมไม่สมควรจะฉุดแม้คนที่เป็นเพียงทาสของพราหมณ์ให้จมน้ำเลย

ลำดับนั้น สุโภคะ จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า เจ้าพราหมณ์ชั่วร้ายเจ้าสำคัญว่า จะหลอกให้เราปล่อยหรือ เราไม่ไว้ชีวิตเจ้า เมื่อจะประกาศกรรมที่พราหมณ์นั้นกระทำจึงกล่าวว่า เจ้าแอบต้นไม้ยิงเนื้อซึ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำ เนื้อถูกยิงแล้วรู้สึกได้ด้วยกำลังลูกศร จึงวิ่งหนีไปไกล เจ้าไปพบมันล้มอยู่ในป่าใหญ่ จึงแล่เนื้อหามมาถึงต้นไทรในเวลาเย็น อันกึกก้องไปด้วยเสียงร้องของนกดุเหว่าและนกสาลิกามีใบเหลือง เกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทรมีฝูงนกดุเหว่าร้องอยู่ระงม น่ารื่นรมย์ใจ ภูมิภาคเขียวไปด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ พี่ชายของเราเป็นผู้รุ่งเรืองไปด้วยฤทธิ์และยศ มีอานุภาพมาก อันนางนาคกัญญาทั้งหลายแวดล้อม ปรากฏแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทรนั้น ท่านพาเจ้าไปเลี้ยงดู บำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง เป็นคนประทุษร้ายต่อท่านผู้ไม่ประทุษร้ายเวรนั้นมาถึงเจ้าในที่นี้แล้ว เจ้าจงเหยียดคอออกเร็ว ๆ เถิด เราจักไม่ไว้ชีวิตเจ้า เราระลึกถึงเวรที่เจ้าทำต่อพี่ชายเรา จึงจักตัดศีรษะเจ้าเสีย

ลำดับนั้นพราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เห็นจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ แต่ถึงกระนั้นเราก็ควรจะพยายามกล่าวอะไร ๆ เพื่อให้พ้นให้จงได้ จึงกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ทรงเวท ๑ ผู้ประกอบในการขอ ๑ ผู้บูชาไฟ ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นพราหมณ์ที่ใคร ๆไม่ควรจะฆ่า เพราะผู้ใดฆ่าพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมเกิดในนรก

สุโภคะ ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เกิดความลังเลใจ จึงคิดว่า เราจะพาพราหมณ์นี้ไปยังนาคพิภพ สอบถามพี่น้องดูก็จักรู้ได้ ดังนี้จึงได้กล่าวว่า

เมืองของท้าวธตรฐ อยู่ภายใต้แม่น้ำยมุนา จดหิมวันตบรรพตซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลแม่น้ำยมุนา ล้วนแล้วไปด้วยทองคำงามรุ่งเรือง พี่น้องร่วมท้องของเรา ล้วนเป็นคนมีชื่อลือชาอยู่ในเมืองนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อเจ้าถูกนำไปในที่นั้น พี่ชายเหล่านั้นว่าอย่างใด เจ้าจักเป็นอย่างนั้น ก็ถ้าเจ้ากล่าวคำจริง ชีวิตของเจ้าก็จะมีอยู่ ถ้ากล่าวคำไม่จริง เราจะตัดศีรษะของเจ้าในที่นั้นทีเดียว

สุโภคะครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว จึงจับคอพราหมณ์เสือกไสไปพลางบริภาษไปพลาง จนถึงประตูปราสาทของพระโพธิสัตว์

จบสุโภคกัณฑ์

ยัญญเภทกัณฑ์

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะนั่งเฝ้าประตูอยู่ เห็นสุโภคะพาพราหมณ์เนสาททรมานมาดังนั้น จึงเดินสวนทางไปบอกว่า แน่ะ พี่สุโภคะ พี่อย่าเบียดเบียนพราหมณ์นั้น เพราะพวกที่ชื่อว่าพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นบุตรท้าวมหาพรหม ถ้าท้าวมหาพรหมรู้เข้าก็จักโกรธว่า นาคเหล่านี้ เบียดเบียนแม้ลูกทั้งหลายของเราแล้ว จักทำนาคพิภพทั้งสิ้นให้พินาศ เพราะพวกที่ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ประเสริฐและมีอานุภาพมากในโลก พี่ไม่รู้จักอานุภาพของพวกพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนข้าพเจ้าเองรู้

เล่ากันมาว่า กาณาริฏฐะในชาติที่ผ่านมาได้เกิดเป็นพราหมณ์บูชายัญ เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ ครั้นกล่าวแล้วด้วยความที่ตนเคยกระทำมาในกาลก่อน จึงฝังใจอยู่ในการบูชายัญ จึงเรียกสุโภคะและนาคบริษัทมาบอกว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เราจักพรรณนาคุณของพราหมณ์ผู้ทำการบูชายัญ ดังนี้แล้วเมื่อเริ่มกล่าวพรรณนายัญจึงกล่าวว่า

ข้าแต่พี่สุโภคะ ยัญและเวททั้งหลายในโลกที่พวกพราหมณ์นี้ประกอบขึ้น ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อยเพราะฉะนั้น ผู้ติเตียนพราหมณ์ซึ่งใคร ๆ ไม่ควรติเตียน ชื่อว่าย่อมละทิ้งทรัพย์เครื่องปลื้มใจและธรรมของสัตบุรุษเสีย

เล่ากันมาว่า เขาได้กล่าวว่า นาคบริษัททั้งหลายอย่าได้กล่าวว่าพราหมณ์นี้ ได้ทำกรรมประทุษร้ายต่อมิตรในพระภูริทัตนี้

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ ได้กล่าวกะสุโภคะนั้นว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ พี่สุโภคะรู้หรือไม่ว่าโลกนี้ใครสร้าง

สุโภคะตอบว่า ไม่รู้

กาณาริฏฐะนั้นเพื่อจะแสดงว่าโลกนี้ท้าวมหาพรหม ปู่ของพวกพราหมณ์สร้าง จึงกล่าวอีกว่า พวกพราหมณ์ ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง ๔ นี้ เข้าถึงการงานตามที่อ้างมาเฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจเป็นผู้กำหนดไว้

เล่ากันมาว่า พรหมนิรมิตวรรณะ ๔ มี พราหมณ์เป็นต้นแล้ว กล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายผู้ประเสริฐ เป็นอันดับแรกว่า พวกท่านจงยึดการศึกษาไตรเพทเท่านั้นอย่างกระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวกะพระราชาว่า พวกท่านจงปกครองแผ่นดินอย่างเดียว อย่ากระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวพวกแพศย์ว่า พวกท่านจง ยึดการไถนาอย่างเดียว กล่าวกะพวกศูทรว่า พวกท่านจงยึดการบำเรอวรรณะ ๓ อย่างเดียว

ตั้งแต่นั้นมา ท่านกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ประเสริฐยึดการศึกษาไตรเพท พระราชายึดการปกครอง แพศย์ยึดการไถนา ศูทรยึดการบำเรอ

กาณาริฎฐะกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า มหาพรหมผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ก็ผู้ใดทำจิตให้เลื่อมใสในมหาพรหมเหล่านั้น ย่อมให้ทาน ผู้นั้นไม่มีการถือปฏิสนธิในที่อื่น ย่อมไปสู่เทวโลกอย่างเดียว จึงกล่าวว่าพระพรหมผู้สร้างโลก ท้าววรุณ ท้าวกุเวร ท้าวโสมะ พระยายม พระจันทร์ พระวายุ พระอาทิตย์แม้ท่านเหล่านี้ ก็ล้วนบูชายัญมามากแล้ว และบูชาสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง แก่พราหมณ์ผู้ทรงเวท ท้าวอรชุนและท้าวภีมเสน มีกำลังมาก มีแขนนับพัน ไม่มีใครเสมอในแผ่นดิน ยกธนูได้ ๕๐๐ คัน ก็ได้บูชาไฟมาแต่ก่อน

กาณาริฏฐะนั้นเมื่อจะสรรเสริญเฉพาะพวกพราหมณ์ แม้ให้ยิ่งขึ้นไปจึงกล่าวว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ ผู้ใดเลี้ยงพราหมณ์ มานานด้วยข้าวและน้ำตามกำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่ ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศอย่างนี้

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ เมื่อจะนำเหตุแม้อื่นอีกมาแสดง จึงกล่าวว่าพราหมณ์ผู้ใด สามารถบูชาเทวดา คือไฟ ผู้กินมาก มีสีไม่ทราม ไม่อิ่มหนำด้วยเนยใส พราหมณ์ผู้นั้น บูชายัญวิธี แก่เทวดา คือ ไฟผู้ประเสริฐแล้วได้ไปบังเกิดในทิพยคติและได้เข้าเฝ้าพระเจ้ายุตินทะ (พระเจ้ามุจลินท์)

เล่ากันมาว่า พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มุชตินทะ ในกรุงพาราณสี ในกาลก่อน ตรัสสั่งให้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายมาแล้ว ถามถึงทางไปสวรรค์

ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ทูลพระราชานั้นว่า ขอพระองค์จงทรงกระทำสักการะ แก่พวกพราหมณ์ และแก่เทวดาผู้เป็นพราหมณ์ เมื่อพระราชาตรัสถามว่า เทวดาผู้เป็นพราหมณ์เหล่าไหน จึงทูลว่า เทวดาคือไฟ ดังนี้แล้วจึงทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงให้ไฟนั้นอิ่มหนำด้วยเนยใสและเนยข้นพระราชานั้นได้ทรงกระทำอย่างนั้น

กาณาริฏฐะนั้น เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวว่า พระเจ้าทุทีปะ มีอานุภาพมาก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มีพระรูปงามน่าดูยิ่งนัก ทรงละแว่นแคว้นอันไม่มีที่สุดพร้อมทั้งเสนา เสด็จออกผนวชแล้ว ได้เสด็จสู่สวรรค์

กาณาริฏฐะ เมื่อจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีกแก่สุโภคะนั้น จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราชทรงปราบแผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสาผูกสัตว์บูชายัญอันงามยิ่งนัก ล้วนแล้วด้วยทองคำ ทรงบูชาไฟแล้วได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคาและสมุทร เป็นที่สั่งสมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพของผู้ใด ผู้นั้นคือ พระเจ้าอังคโลมบาท ทรงบำเรอไฟ แล้วเสด็จไปเกิดในพระนครของท้าวสหัสสนัยน์

ดูก่อนพี่สุโภคะ แม่น้ำคงคาและมหาสมุทรใครสร้างพี่รู้ไหม

สุโภคะกล่าวว่า เราไม่รู้

กาณาริฏฐะกล่าวว่า พี่ไม่รู้อะไร พี่รู้แต่จะโบยตีพราหมณ์เท่านั้น ก็ในอดีตกาลพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงพระนามว่า อังคโลมบาท ตรัสถามทางสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า พระองค์จงเสด็จเข้าไปหิมวันต์กระทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้วบำเรอไฟ พระองค์จึงพาแม่โคนมและพระมเหสีหาประมาณมิได้เข้าไปยังหิมวันต์ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อพระราชาตรัสถามว่า นมสดและนมส้มที่เหลือจากพวกพราหมณ์บริโภคแล้วจะพึงทำอย่างไร จึงกล่าวว่าจงทิ้งเสีย ในที่ ๆ น้ำนมแต่ละน้อยถูกทิ้งลงไปนั้น ๆ ได้กลายเป็นแม่น้ำน้อย ส่วนน้ำนมนั้นกลายเป็นนมส้มไหลไปขังอยู่ในที่ใด ที่นั้นได้กลายเป็นสมุทรไป พระเจ้าพาราณสีทรงกระทำสักการะเห็นปานนี้ เสด็จไปสู่บุรีของท้าวสหัสสนัยน์ ผู้บำเรอไฟตามวิธีที่พราหมณ์กล่าว ด้วยประการฉะนี้

กาณาริฏฐะ ครั้นนำอดีตนิทานนี้มาชี้แจงแก่สุโภคะดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มียศ เป็นเสนาบดีของท้าววาสวะในไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วยโสมยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง

ดูก่อนพี่สุโภคะผู้เจริญ บัดนี้ ผู้ที่เป็นเสนาบดีของท้าวสักกเทวราชมียศมาก เป็นเทพบุตร แม้ผู้นั้นเมื่อก่อนเป็นพระเจ้าพาราณสี ถามถึงทางเป็นที่ไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวว่า ขอพระองค์จงลอยมลทินของตน ด้วยโสมยาควิธีแล้วจะไปสู่เทวโลก จึงทรงกระทำสักการะใหญ่แก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว กระทำการบูชาโสมยาคะ ตามวิธีที่พวกพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวแล้ว จึงทรงกำจัดมลทินด้วยวิธีนั้นแล้ว เกิดเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง

เมื่อกาณาริฏฐะจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีกแก่สุโภคะ จึงกล่าวว่าเทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์เรืองยศสร้างโลกนี้โลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี ขุนเขาหิมวันต์และเขาวิชฌะ ได้บูชาไฟมาก่อน ภูเขามาลาคิริ ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้ และภูเขาใหญ่อื่น ๆ กล่าวกันว่าพวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้ก่อสร้างไว้

ดูก่อนพี่สุโภคะ มหาพรหมใด ได้สร้างโลกนี้และโลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี แม่น้ำคงคา ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะและเขากากเวรุ ในกาลใดมหาพรหมนั้นได้เป็นมาณพก่อนกว่าพรหมอุบัติ ในกาลนั้นเขาเริ่มต้นบูชาไฟเป็นมหาพรหมได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น

เล่ากันมาว่า เมื่อก่อน พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง ตรัสถามถึงทางไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า ขอพระองค์จงทำสักการะแก่พวกพราหมณ์ พระองค์ก็ได้ถวายมหาทานแก่พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ในการให้ทานของข้าพเจ้านี้ ไม่มีผลหรือ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า มีทั้งหมดพระเจ้าข้า แต่อาสนะไม่เพียงพอแก่พวกพราหมณ์ จึงรับสั่งให้ก่ออิฐสร้างอาสนะทั้งหลาย ที่นอนและตั่งที่พระองค์ให้ก่อสร้างขึ้นนั้น เจริญด้วยอานุภาพของพวกพราหมณ์ กลายเป็นภูเขามาลาคิริเป็นต้น ภูเขาเหล่านั้นกล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้สร้างไว้ด้วยประการฉะนี้แล

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นอีกว่า พี่สุโภคะ ก็พี่รู้หรือไม่ว่า เพราะเหตุไร สมุทรนี้จึงเกิดเป็นน้ำเค็ม ดื่มไม่ได้

สุโภคะกล่าวว่า ดูก่อนอริฏฐะ พี่ไม่รู้

กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นว่า พี่ก็รู้แต่จะเบียดเบียนพวกพราหมณ์เท่านั้นไม่รู้อะไรอื่นเลย คอยฟังเถิด จึงกล่าวว่า

ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์ผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้

เล่ากันว่า วันหนึ่งพราหมณ์นั้น กระทำกรรมคือการลอยบาป ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง ตักน้ำจากสมุทร กระทำการดำเกล้าสระหัวของตน ขณะนั้นสาครกำเริบท่วมทับพราหมณ์นั้น ผู้กระทำอย่างนั้น มหาพรหมได้ทรงสดับเหตุนั้นจึงโกรธว่า ได้ทราบว่า สาครนี้ฆ่าบุตรเรา จึงสาปว่าสมุทรจงดื่มไม่ได้ จงเป็นน้ำเค็ม ด้วยเหตุนั้นนั่นเองสมุทรจึงดื่มไม่ได้ กลายเป็นน้ำเค็ม ชื่อว่าพราหมณ์เหล่านี้ มีคุณมากถึงปานนี้แล

กาณาริฏฐะกล่าวต่อไปว่า วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็นอันมากมีอยู่บนแผ่นดิน ของท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้งหลายมีอยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศทักษิณและทิศอุดรย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด

อริฏฐะ พรรณนาถึงพราหมณ์ ยัญ และ เวทด้วยประการฉะนี้

จบการพรรณนายัญญวา

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๖

นาคคเวสนกัณฑ์

ขณะนั้นอาลัมพายน์ อาบน้ำสระศีรษะ ลูบไล้ของหอมนุ่งห่มผ้าเนื้อเกลี้ยงแล้ว ให้คนยกกระโปรงแก้วไปยังประตูพระราชฐาน มหาชนประชุมกันแล้ว พระราชอาสน์ก็จัดไว้พร้อมเสร็จ พระราชานั้นเสด็จอยู่ข้างในนิเวศน์ทรงส่งสาสน์ไปว่า เราจะไปดู ขออาลัมพายน์จงให้นาคราชเล่นไปเถิด

อาลัมพายน์จึงวางกระโปรงแก้วลงบนเครื่องลาดอันวิจิตร เปิดกระโปรงออกแล้วให้สัญญาว่า ขอมหานาคออกมาเถิด

สมัยนั้น สุทัสสนะก็ไปยืนอยู่ท้ายบริษัททั้งปวง


พระมหาสัตว์โผล่ศีรษะแลดูบริษัททั่วไป นาคทั้งหลายแลดูบริษัทด้วยอาการ ๒ อย่างคือ เพื่อจะดูอันตรายจากสุบรรณอย่าง ๑ เพื่อจะดูพวกญาติอย่างหนึ่ง นาคเหล่านั้นครั้นเห็นสุบรรณก็กลัวไม่ฟ้อนรำ ครั้นเห็นพวกญาติก็ละอายไม่ฟ้อนรำ ส่วนพระมหาสัตว์เมื่อแลไปเห็นพี่ชายในระหว่างบริษัทท่านก็เลื้อยออกจากกระโปรงตรงไปหาพี่ชายทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้า




มหาชนเห็นพระภูริทัตเลื้อย ก็พากันตกใจหลีกออกไป ยังยืนอยู่แต่สุทัสสนะผู้เดียว พระภูริทัตไปซบศีรษะร้องไห้อยู่ที่หลังเท้าของสุทัสสนะก็ร้องไห้.ฝ่ายสุทัสสนะก็ร้องไห้ พระมหาสัตว์ร้องไห้แล้วก็กลับมาเข้ากระโปรง อาลัมพายน์เข้าใจว่า ดาบสถูกนาคนี้กัดเอา คิดจะปลอบโยนท่าน จึงเข้าไปหาสุทัสสนะแล้วกล่าวว่า

นาคหลุดพ้นจากมือ ไปฟุบลงที่เท้าของท่าน คุณพ่อ มันกัดเอากระมังหนอ คุณพ่ออย่ากลัวเลย จงถึงความสุขเถิด

สุทัสสนะ เพราะมีความประสงค์จะกล่าวกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า นาคตัวนี้ ไม่สามารถจะทำอันตรายอะไร ๆให้เกิดแก่เราได้หรอก หมองูมีอยู่เท่าใด ก็ไม่ดียิ่งกว่าเรา

อาลัมพายน์เมื่อไม่รู้จักว่าผู้นี้คือใครก็โกรธกล่าวว่า คนเซอะอะไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาท้าเราในที่ประชุมชน ขอบริษัทจงฟังเรา

ลำดับนั้น สุทัสสนะ ได้กล่าวกะหมองูว่า ดูก่อนหมองู ท่านจงต่อสู้กับเราด้วยนาค เราจะต่อสู้กับท่านด้วยเขียด ในการรบของเรานั้น เราทั้งสองจงมาพนันกันด้วยเดิมพัน ๕,๐๐๐ กหาปณะ

อาลัมพายน์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เราเท่านั้นเป็นคนมั่งคั่งด้วยทรัพย์ ท่านเป็นคนจน ใครจะเป็นคนรับประกันท่าน และอะไรเป็นเดิมพันของท่าน ท่านจงแสดงแก่เรา เดิมพันของเรามี และคนรับประกันเช่นนั้นก็มี เพราะในการรบของเราทั้งสองนี้ เดิมพันสูงถึง ๕,๐๐๐ กหาปณะ

สุทัสสนะ ครั้นได้ฟังคำของอาลัมพายน์นั้นแล้วก็ไม่กล้ายืนยันว่า เอาเถอะพนันกันด้วยทรัพย์ ๕,๐๐๐ กหาปณะดังนี้ก็ขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นลุง แล้วกล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตรผู้ทรงเกียรติ เชิญสดับคำของอาตมภาพ ขอความเจริญจงมีแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรทรงรับประกันทรัพย์ ๕,๐๐๐ กหาปณะ ของอาตมภาพเถิด

พระราชาทรงพระดำริว่า ดาบสนี้ขอทรัพย์เรามากเหลือเกิน จึงตรัสว่า ข้าแต่ดาบส หนี้เป็นหนี้ของบิดา หรือว่าเป็นหนี้ที่ท่านทำเอง เพราะเหตุไร ท่านจึงขอทรัพย์มากมายอย่างนี้ ต่อข้าพเจ้า

เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้ สุทัสสนะจึงได้กล่าวว่า เพราะอาลัมพายน์ปรารถนาจะต่อสู้กับอาตมภาพด้วยนาค อาตมภาพจักให้ลูกเขียดกัดพราหมณ์อาลัมพายน์ ดูก่อนมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ขอเชิญพระองค์ผู้มีหมู่ทหารดาบเป็นกองทัพ เสด็จทอดพระเนตรนาคนั้นในวันนี้

พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเราจักไป จึงเสด็จไปพร้อมกับดาบสนั้นแล อาลัมพายน์เห็นพระราชาเสด็จมากับดาบส ก็ตกใจกลัวว่า ดาบสนี้ไปเชิญพระราชาออกมา ชะรอยว่าจักเป็นบรรพชิตในพระราชาสำนัก เมื่อจะคล้อยตามจึงกล่าวว่า

ข้าแต่ดาบส เราไม่ได้ดูหมิ่นท่าน โดยทางศิลปศาสตร์เลย ท่านมัวเมาด้วยศิลปศาสตร์มากเกินไปไม่ ยำเกรงนาค

ลำดับนั้น สุทัสสนะได้กล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ แม้อาตมาก็ไม่ดูหมิ่นท่านในทางศิลปศาสตร์ แต่ว่าท่านล่อลวงประชาชนนักด้วยนาคอันไม่มีพิษ ถ้าชนพึงรู้ว่านาคของท่านไม่มีพิษเหมือนอย่างอาตมารู้แล้ว ท่านก็จะไม่ได้แกลบสักกำมือหนึ่งเลย จักได้ทรัพย์แต่ที่ไหนเล่าหมองู

ลำดับนั้น อาลัมพายน์โกรธต่อสุทัสสนะ จึงกล่าวว่าท่านผู้นุ่งหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เกล้าชฎารุ่มร่ามเหมือนคนเซอะ เข้ามาในประชุมชน ดูหมิ่นนาคเช่นนี้ว่าไม่มีพิษ ท่านเข้ามาใกล้แล้ว ก็จะพึงรู้ว่านาคนั้นเต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุด ข้าพเจ้าเข้าใจว่านาคตัวนี้จักทำท่านให้แหลกเป็นเหมือนเถ้าไปโดยฉับพลัน

ลำดับนั้น สุทัสสนะเมื่อกระทำการเย้ยหยันจึงกล่าวว่า พิษของงูเรือน งูปลา งูเขียว นั้นมี แต่พิษของ นาคมีศีรษะแดง ไม่มีเลยทีเดียว


ลำดับนั้น อาลัมพายน์ได้กล่าวกะสุทัสสนะด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวม ผู้มีตบะ มาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสียเถิด ถ้าท่านมีสิ่งของที่จะควรให้ นาคนี้มีฤทธิ์มาก มีเดชยากที่ใคร ๆ จะก้าวล่วงได้ เราจะให้นาคนั้นกัดท่าน มันก็จักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป

ลำดับนั้นสุทัสสนะกล่าวว่าดูก่อนสหาย เราก็ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวมมีตบะมาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้แล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านนั่นแหละเมื่อมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสีย ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้จงให้

ลูกเขียดชื่อว่า อัจจิมุขีนี้ เต็มด้วยเดชเหมือนของนาคอันสูงสุด เราจักให้ลูกเขียดนั้นกัดท่าน ลูกเขียดนั้นจักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป นางเป็นธิดาของท้าวธตรฐเป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา นางอัจจิมุขีผู้เต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุดนั้นจงกัดท่าน

ก็แล สุทัสสนะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเหยียดมือร้องเรียกน้องหญิงในท่ามกลางมหาชนนั่นแล ด้วยคำว่า น้องหญิงอัจจิมุขี เจ้าจงออกจากภายในชฎาของพี่มายืนอยู่ในฝ่ามือของพี่

นางอัจจิมุขีผู้นั่งอยู่ภายในชฎานั่นแล ได้ยินเสียงเรียกของสุทัสสนะพี่ชายแล้ว จึงออกจากภายในชฎา นั่งอยู่ที่จะงอยบ่ากระโดดจากที่นั้นมายืนอยู่บนฝ่ามือของสุทัสสนะพี่ชาย แล้วทำหยาดพิษ ๓ หยาดให้ตกแล้วเข้าไปภายในชฎาของสุทัสสนะอีกตามเดิม

สุทัสสนะยืนถือพิษอยู่แล้วประกาศเสียงดังขึ้นว่า ชาวชนบทจักพินาศหนอ เสียงของสุทัสสนะได้ดังกลบนครพาราณสีไปทั่วทั้ง ๑๒ โยชน์

ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามเขาว่า ชนบทจักพินาศเพื่ออะไร

สุทัสสนะทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาไม่เห็นที่ที่จะหยดพิษนี้

พระราชา เจ้าจงหยดพิษที่แผ่นดินใหญ่เถิด

ลำดับนั้น สุทัสสนะจึงทูลพระราชาว่า อาตมภาพไม่สามารถจะหยดพิษลงบนแผ่นดินใหญ่นั้น มหาบพิตร ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจัดหยดพิษลงบนแผ่นดินไซร้ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ต้นหญ้าลดาวัลย์ และต้นยาทั้งหลาย พึงเหี่ยวแห้งไปโดยไม่ต้องสงสัย

พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นท่านจงขว้างขึ้นไปบนอากาศ

สุทัสสนะ เมื่อจะแสดงว่า ถึงในอากาศนั้น ก็ไม่อาจขว้างหยดพิษขึ้นไปได้ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักขว้างพิษขึ้นบนอากาศ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกลงตลอด ๗ ปี

พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นพ่อจงหยดพิษลงในน้ำ

สุทัสสนะ จึงกล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจัดหยดพิษลงในน้ำ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า สัตว์น้ำมีประมาณเท่าใด ทั้งปลาและเต่าจะพึงตายหมด

ลำดับนั้นพระราชาตรัสกะท่านว่า ดูก่อนพ่อ ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร ท่านจงช่วยหาอุบายที่จะไม่ให้แคว้นของเราฉิบหายด้วยเถิด

สุทัสสนะทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น มหาบพิตรจงรับสั่งให้คนขุดบ่อ ๓ บ่อ ต่อ ๆ กันไปในที่แห่งนี้ พระราชารับสั่งให้ขุดบ่อแล้ว สุทัสสนะ จึงบรรจุบ่อแรกให้เต็มด้วยยาต่าง ๆ บ่อที่ ๒ ให้บรรจุโคมัย และบ่อที่ ๓ ให้บรรจุยาทิพย์ แล้วจึงใส่หยดพิษลงในบ่อที่ ๑ ขณะนั้นนั่นเองก็เกิดควันไฟลุกขึ้นเป็นเปลวแล้วเลยลามไปจับบ่อโคมัย แล้วลุกลามต่อไปถึงบ่อยาทิพย์ ไหม้ยาทิพย์หมดแล้วจึงดับ

อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อนั้น ลำดับนั้น ไอควันพิษฉาบเอาผิวร่างกายขึ้นไป ได้กลายเป็นขี้เรื้อนด่าง อาลัมพายน์ ตกใจกลัว จึงเปล่งเสียงขึ้น ๓ ครั้งว่า ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ

พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้น จึงออกจากกระโปรงแก้ว นิรมิตอัตภาพอันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ยืนอยู่ด้วยท่าทางเหมือนเทวราช ทั้งสุทัสสนะทั้งอัจจิมุขี ก็มายืนอยู่เหมือนพระโพธิสัตว์นั่นแล

ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลถามพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงรู้จักหรือ ข้าพระองค์ทั้งสามนี้ เป็นลูกใคร

ราชา ดูก่อนพ่อ เราไม่รู้จัก

สุทัสสนะ พระองค์ไม่รู้จักข้าพระองค์ทั้งสามยกไว้ก่อน แต่พระองค์ทรงทราบเรื่องที่ยกนางสมุททชาราชธิดาพระเจ้ากาสีซึ่งพระราชทานแก่ท้าวธตรฐหรือไม่เล่า

ราชา เออ เรารู้ นางสมุททชาเป็นน้องสาวเรา

สุทัสสนะ ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ทั้งสามนี้เป็นลูกของนางสมุททชา พระองค์เป็นพระเจ้าลุงของข้าพระองค์ทั้งสาม

พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ทรงสวมกอดจุมพิตหลานทั้ง ๓ ตน พลางทรงกรรแสงแล้วพาขึ้นปราสาท ทรงทำสักการะเป็นอันมากแล้ว ทรงกระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ดูก่อนภูริทัต พ่อมีฤทธิ์เดชสูงถึงอย่างนี้ ทำไมอาลัมพายน์จึงจับได้ พระภูริทัตนั้นจึงทูลเรื่องนั้นโดยพิสดารแล้ว เมื่อจะถวายโอวาทพระราชา จึงแสดงราชธรรมแก่พระเจ้าลุงโดยนัยมีอาทิว่า ขอพระราชทาน ธรรมเนียมพระราชาควรจะดำรงราชสมบัติโดยทำนองอย่างนี้

ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ยังไม่พบเจ้าภูริทัต ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่ช้าได้

ราชา ดีละพ่อ จงพากันไปก่อนเถิด แต่ว่าลุงอยากจะพบน้องของเราบ้าง ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน

สุทัสสนะ ข้าแต่พระเจ้าลุง พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นพระอัยกาของข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเล่า

ราชา ดูก่อนพ่อ พระเจ้ากาสิกราชนั้นต้องพรากจากน้องสาวของลุงแล้วไม่สามารถจะอยู่เสวยราชสมบัติได้ ได้ละราชสมบัติทรงผนวชเสียแล้วเสด็จไปอยู่ในไพรสณฑ์แห่งโน้น

สุทัสสนะ ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ประสงค์จะพบพระเจ้าลุงและพระอัยกาด้วย ถึงวันโน้น พระองค์จงเสด็จไปยังสำนักพระอัยกา ข้าพระองค์จักพามารดาไปยังอาศรมพระอัยกา พระเจ้าลุงจักได้พบมารดาของข้าพระองค์ในที่นั้นทีเดียว ดังนั้นทั้ง ๓ ตน จึงกำหนดนัดหมายวันแก่พระเจ้าลุงแล้ว ออกจากพระราชนิเวศน์ พระราชาส่งราชภาคิไนยไปแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงแล้วเสด็จกลับ หลานทั้งสามตน ก็แทรกแผ่นดินลงไปนาคพิภพ

จบนาคคเวสนกัณฑ์.
จาก facebook 

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๕

อาลัมพายนกัณฑ์

ฝ่ายพราหมณ์เนสาท กล่าวว่า ดูก่อนอาลัมพายน์ผู้เจริญ เชิญท่านจับนาคนี้แล้วให้แก้วมณีแก่เราเถิด

อาลัมพายน์เห็นนาคแล้วก็ดีใจ มิได้นับถือในแก้วว่ามีอะไรเปรียบเหมือนเป็นหญ้า โยนแก้วมณีไปที่มือพราหมณ์เนสาทด้วยคำว่า เอาไปเถิดพราหมณ์ แก้วมณีก็พลาดจากมือพราหมณ์เนสาทตกลงที่แผ่นดิน พอตกลงแล้วก็จมแผ่นดินลงไปยังนาคพิภพนั่นเอง

พราหมณ์เนสาทเสื่อมจากฐานะ ๓ ประการ คือเสื่อมจากแก้วมณี เสื่อมจากมิตรภาพกับพระภูริทัต และเสื่อมจากบุตร  เขาก็ร้องไห้รำพันว่า เราหมดที่พึ่งพาอาศัยแล้ว เพราะเราไม่ทำตามคำของบุตร แล้วไปสู่เรือน


ฝ่ายอาลัมพายน์ ก็ทาร่างของตนด้วยทิพยโอสถ เคี้ยวกินเล็กน้อยกับประพรมกายของตน ก็ร่ายทิพยมนต์ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ จับหางพระโพธิสัตว์คร่ามาจับศีรษะไว้มั่นแล้ว เปิดปากพระมหาสัตว์ เคี้ยวยาบ้วนใส่พร้อมเสมหะเข้าในปากพระมหาสัตว์ พระยานาคผู้เป็นชาติสะอาด ไม่โกรธไม่ลืมตาเพราะกลัวแต่ศีลจะขาดทำลาย

ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็ใช้ยาและมนต์ จับหางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ เขย่า ให้สำรอกอาหารที่มีอยู่แล้วให้นอนเหยียดยาวที่พื้นดิน เหยียบย่ำด้วยเท้า เหมือนคนนวดถั่ว กระดูกเหมือนจะแหลกเป็นจุณออกไป จับหางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงข้างล่างอีก ฟาดลงเหมือนฟาดผ้า พระมหาสัตว์แม้เสวยทุกขเวทนาถึงปานนี้ก็ไม่โกรธเลย

อาลัมพายน์ ครั้นทำพระมหาสัตว์ให้ถอยกำลังดังนั้นแล้ว จึงเอาเถาวัลย์ถักกระโปรง แล้วเอาพระมหาสัตว์ใส่ในกระโปรงนั้น แต่สรีระของพระมหาสัตว์ใหญ่ เข้าไปในกระโปรงนั้นไม่ได้ อาลัมพายน์จึงใช้ส้นเท้าถีบพระมหาสัตว์ให้เข้าไป แล้วแบกกระโปรงไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง จึงวางกระโปรงลง วางไว้กลางบ้านร้องบอกว่า ผู้ประสงค์จะดูการฟ้อนรำของนาคก็จงมา ชาวบ้านทั้งสิ้นต่างมาประชุมกัน

อาลัมพายน์จึงกล่าวว่า มหานาค เจ้าจงออกมา

พระมหาสัตว์คิดว่า วันนี้เราจะเล่นให้บริษัทร่าเริงจึงจะควร อาลัมพายน์เมื่อได้ทรัพย์มากอย่างนี้ยินดีแล้ว จักปล่อยเราไป อาลัมพายน์จะให้เราทำอย่างใด เราก็จะทำอย่างนั้น

ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็นำพระมหาสัตว์ออกจากกระโปรงแล้วกล่าวว่า เจ้าจงทำตัวให้ใหญ่ พระมหาสัตว์ทำตัวให้ใหญ่

อาลัมพายน์บอกให้ทำตัวให้เล็กและให้ขด ให้คลาย ให้แผ่พังพาน ๑ พังพาน ๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐–๒๐–๓๐–๔๐–๕๐–๖๐–๗๐–๘๐–๙๐–๑๐๐ ให้สูง ให้ต่ำ ให้เห็นตัว ให้หายตัว ให้เห็นครึ่งตัว ให้สีเขียว เหลือง แดง ขาวหงสบาท ให้พ่นเปลวไฟ พ่นน้ำ พ่นควัน

อาลัมพายน์ บอกให้ทำอาการใด ๆ พระมหาสัตว์ก็นิรมิตอัตภาพแสดงอาการนั้น ๆ ทุกอย่าง ใคร ๆ เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ มนุษย์เป็นอันมากต่างพากันให้สิ่งของต่าง ๆ มีเงิน ทอง ผ้า และเครื่องประดับเป็นต้น อาลัมพายน์จึงได้ทรัพย์ในบ้านนั้นประมาณเป็นพัน ๆ อย่างนี้

อาลัมพายน์นั้นจับพระมหาสัตว์ได้ทรัพย์พันหนึ่ง จึงกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า จักปล่อยก็จริง แต่ถึงกระนั้นครั้นได้พันหนึ่งแล้ว ก็คิดว่า แม้ในบ้านเล็กน้อยเรายังได้ทรัพย์ถึงเพียงนี้ ถ้าในพระนครคงจักได้ทรัพย์มากมาย เพราะความโลภในทรัพย์จึงมิได้ปล่อยพระมหาสัตว์ไป

อาลัมพายน์นั้น เริ่มตั้งขุมทรัพย์ขึ้นได้ในบ้านนั้น แล้วจึงให้นายช่างทำกระโปรงแก้ว ใส่พระมหาสัตว์ในกระโปรงแก้วนั้น แล้วก็ขึ้นสู่ยานน้อยอย่างสบาย ออกไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ให้พระมหาสัตว์เล่นไปในบ้านและนิคมเป็นต้น จนถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ

แต่อาลัมพายน์ ไม่ให้น้ำผึ้งและข้าวตอกแก่พระยานาค แต่ฆ่ากบให้กิน พระมหาสัตว์ก็มิได้กิน เพราะถือศีล พระมหาสัตว์ไม่ได้อาหารเพราะกลัวอาลัมพายน์จะไม่ปล่อย อาลัมพายน์จึงให้พระมหาสัตว์เล่นในบ้านนั้น ๆ ตั้งต้นแต่หมู่บ้านใกล้ประตูทั้ง ๔ ด้านอีก ครั้นถึงวันอุโบสถสิบห้าค่ำ อาลัมพายน์จึงขอให้กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าพระองค์จะให้นาคราชเล่นถวายพระองค์ พระราชา จึงรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศให้มหาชนประชุมกัน ชนเหล่านั้นจึงพากันมาประชุมที่พระลานหลวง

จบอาลัมพายนกัณฑ์


วิลาปกัณฑ์

ก็ในวันที่อาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ไปนั้น พระมารดาของพระมหาสัตว์ ได้เห็นในระหว่างทรงพระสุบินว่า พระนางถูกชายคนหนึ่งตัวดำ ตาแดงเอาดาบตัดแขนขวาของพระนางขาดแล้วนำไปทั้ง ๆ ที่มีเลือดไหลอยู่ ครั้นพระนางตื่นขึ้น ก็สะดุ้งกลัวลุกขึ้นคลำแขนขวา ทรงทราบว่าเป็นความฝัน

ลำดับนั้นพระนางทรงดำริว่า เราฝันเห็นร้ายแรงมาก บุตรของเราทั้ง ๔ คน หรือท้าวธตรฐทั้งตัวเราเองคงจะเป็นอันตราย ก็อีกอย่างหนึ่งพระนางทรงปรารภคิดถึงพระมหาสัตว์ยิ่งกว่าผู้อื่น เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า นาคอื่นๆ นั้นอยู่ในนาคพิภพของตน ฝ่ายพระมหาสัตว์ เพราะเป็นผู้มีศีลเป็นอัธยาศัย ไปยังมนุษย์โลกกระทำอุโบสถกรรม เพราะเหตุนั้น พระนางจึงทรงคิดถึงพระภูริทัตยิ่งกว่าใคร ๆ ว่า หมองู หรือสุบรรณจะพึงจับเอาบุตรของเราไปเสียกระมังหนอ

จากนั้นพอล่วงไปได้กึ่งเดือน พระภูริทัตก็มิได้มาเฝ้าตามปกติ พระนางทรงโทมนัสว่า บุตรของเราไม่สามารถจะพลัดพรากจากเราเกินกึ่งเดือนเลย ภัยอย่างใดอย่างหนึ่งจักเกิดขึ้นแก่บุตรของเราเป็นแน่ ครั้นล่วงไปได้เดือนหนึ่ง พระนางสมุททชาก็ทรงโศกเศร้าหาเวลาขาดน้ำตามิได้ ดวงหฤทัยก็เหือดแห้ง พระเนตรทั้งสองก็บวมเบ่งขึ้นมา พระนางสมุททชาทรงนั่งมองหาทางที่พระมหาสัตว์จะกลับมาถึงเท่านั้นด้วยทรงรำพึงว่า ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้ ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้

ครั้งนั้น สุทัสสนะโอรสองค์ใหญ่ของพระนางสมุททชา ครั้นล่วงไปได้เดือนหนึ่งแล้ว พร้อมด้วยบริษัทเป็นอันมากมาเยี่ยมพระชนกชนนี พักบริษัทไว้ภายนอกแล้วขึ้นสู่ปราสาท ไหว้พระชนนี แล้วได้ยืนอยู่ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระนางสมุททชานั้นกำลังทรงโศกเศร้าถึงพระภูริทัตอยู่ มิได้เจรจาปราศรัยกับด้วยสุทัสสนะ สุทัสสนะนั้น จึงคิดว่า พระมารดาของเรา เมื่อเรามาครั้งก่อน ๆเห็นเราแล้วย่อมยินดีต้อนรับ แต่วันนี้พระมารดาทรงโทมนัสน้อยพระทัย คงมีเหตุอะไรเป็นแน่ จึงทูลถามพระชนนี

แม้เมื่อสุทัสสนะกล่าวถามแล้ว พระนางสมุททชามิได้ตรัสปราศรัยเลย สุทัสสนะจึงคิดว่า ใครทำให้พระมารดาโกรธหรือหนอ หรือว่าพึงมีอันตราย ลำดับนั้น สุทัสสนะเมื่อจะทูลถามพระมารดานั้น จึงกล่าวว่า ใครว่ากล่าวล่วงเกินพระแม่เจ้า หรือพระแม่เจ้ามีเวทนาอะไรบ้าง เพราะทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์ผู้มาเฝ้า พระพักตร์ของพระแม่เจ้าเกรียมดำเพราะเหตุไร ?

ลำดับนั้น พระนางสมุททชาเมื่อจะตรัสบอกแก่สุทัสสนะนั้น จึงตรัสว่าพ่อสุทัสสนะเอ๋ย แม่ได้ฝันเห็นล่วงมาเดือนหนึ่งแล้วว่า มีชายคนหนึ่งมาตัดแขนของแม่ ดูเหมือนเป็นข้างขวา พาเอาไปทั้ง ๆ ที่เปื้อนด้วยเลือด เมื่อแม่กำลังร้องไห้อยู่ นับตั้งแต่แม่ได้ฝันเห็นแล้ว เจ้าจงรู้เถิดว่า แม่ไม่ได้รับความสุขทุกวันทุกคืนเลย

ก็แลเมื่อพระนางสมุททชาตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนลูกรัก น้องของเจ้าหายไปโดยมิได้เห็น ชะรอยว่าภัยคงจะเกิดมีแก่น้องของเจ้า เอาเถอะ เราจักไปยังนิเวศน์แห่งภูริทัตบัดเดี๋ยวนี้ จักไปเยี่ยมน้องของเจ้า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล

ก็แลครั้นพระนางสมุททชา ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังนิเวศน์แห่งพระภูริทัต พร้อมด้วยบริษัทของพระสุทัสสนะและบริษัทของพระนาง

ฝ่ายเหล่าภรรยาของพระมหาสัตว์เมื่อไม่เห็นพระภูริทัตที่จอมปลวกแล้วจึงคิดว่า คงจักอยู่ในนิเวศน์ของมารดา จึงมิได้พากันขวนขวายหา ภรรยาเหล่านั้นครั้นทราบว่า ข่าวว่า แม่ผัวมาไม่เห็นบุตรของตน จึงพากันต้อนรับแล้วทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เมื่อพระราชบุตรของพระแม่เจ้าหายไป ล่วงไปหนึ่งเดือนเข้าวันนี้แล้ว ครั้นแล้วต่างพากันคร่ำครวญรำพัน หมอบลงแทบพระบาทของพระนางสมุททชา

พระมารดาของพระภูริทัตเสด็จพร้อมด้วยหญิงสะใภ้ทรงพากันคร่ำครวญในระหว่างถนน ทรงพาหญิงเหล่านั้นขึ้นสู่ปราสาทแห่งพระภูริทัตนั้นตรวจดูที่นอนและที่นั่งของบุตรแล้วคร่ำครวญจึงตรัสรำพันว่า เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือนนกพลัดพรากจากลูกเห็นแต่รังเปล่า เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์ สิ้นกาลนานเหมือนนางหงส์ขาวพลัดพรากจากลูกอ่อน เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือนนางนกจากพราก ในเปือกตมอันไม่มีน้ำเป็นแน่ เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยความโศกเศร้าเปรียบเหมือนเบ้าของช่างทอง เกรียมไหม้ในภายใน ไม่ออกไปภายนอกฉะนั้น

เมื่อพระมารดาพระภูริทัต ทรงรำพันอยู่อย่างนี้ นิเวศน์แห่งภูริทัต ก็แซ่เสียงเป็นอันเดียวกัน ปานประหนึ่งเสียงคลื่นในท้องสมุทรฉะนั้น แม้นาคสักตนหนึ่ง ก็ไม่อาจทรงภาวะของตนอยู่ ทั่วทั้งนิเวศน์เป็นเหมือนป่าไม้รังถูกลมยุคันธวาตฉะนั้น

ในกาลนั้น อริฏฐะ และ สุโภคะ ๒ พี่น้องชาย ไปยังที่อุปัฏฐากของพระมารดาและพระบิดา ได้ยินเสียงนั้น จึงเข้าไปยังนิเวศน์ของภูริทัตช่วยกันปลอบพระมารดาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัย อย่าเศร้าโศกไปเลยเพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีความตายและความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ การตายและการเกิดขึ้นนี้เป็นความแปรของสัตว์โลก

พระนางสมุททชา ตรัสว่า ดูก่อนพ่อสุทัสสนะ ถึงแม้เรารู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ก็แต่ว่าแม่เป็นผู้อันความเศร้าโศกครอบงำแล้ว เจ้าจงรู้ว่า ถ้าเมื่อแม่ไม่ได้เห็นภูริทัตในคืนวันนี้ แม่เห็นจะต้องละชีวิตเป็นแน่

บุตรทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัย อย่าเศร้าโศกไปเลย ลูกทั้ง ๓ จักเที่ยวแสวงหาภูริทัตไปตามทิศน้อยทิศใหญ่ ที่ภูเขา ซอกเขา บ้านและนิคม แล้วจักนำท่านพี่ภูริทัตมา พระแม่เจ้าจักได้ทรงเห็นท่านพี่ภูริทัตมาภายใน ๗ วัน

แต่นั้น สุทัสสนะจึงคิดว่า ถ้าเราทั้ง ๓ ไปรวมกันก็จักชักช้าควรแยกไป ๓ แห่ง คือผู้หนึ่งไปเทวโลก ผู้หนึ่งไปหิมพานต์ ผู้หนึ่งไปมนุษย์โลก แต่ถ้าให้กาณาริฎฐะไปมนุษย์โลก ถ้าไปพบภูริทัตในบ้านและนิคมใด ก็จักเผาบ้านและนิคมนั้นเสียหมด เพราะกาณาริฎฐะ หยาบช้ากล้าแข็งมาก ไม่ควรให้ไปมนุษย์โลก ดังนี้จึงส่งอริฏฐะไปเทวโลกว่า ดูก่อนพ่ออริฏฐะ เจ้าจงไปยังเทวโลก ถ้าว่าเทวดาต้องการฟังธรรม นำภูริทัตไปไว้ในเทวโลกไซร้ เจ้าจงพาเขากลับมา และส่งสุโภคะให้ไปป่าหิมพานต์ว่า พ่อสุโภคะ เจ้าจงไปยังหิมพานต์เที่ยวค้นหาภูริทัตในมหานทีทั้ง ๕ พบภูริทัตแล้วจงพามา ส่วนสุทัสสนะเองอยากไปมนุษย์โลก แต่มาคิดว่า ถ้าเราจะไปโดยเพศชายหนุ่ม พวกมนุษย์ไม่ค่อยรักใคร่ ควรจะไปด้วยเพศดาบส เพราะพวกบรรพชิตเป็นที่รักใคร่ของพวกมนุษย์ เขาจึงแปลงเพศเป็นดาบส กราบลาพระมารดาแล้วหลีกไป

ก็ภูริทัตโพธิสัตว์นั้น มีนางนาคน้องสาวต่างมารดาอยู่ตนหนึ่ง ชื่อว่า อัจจิมุขี นางอัจจิมุขีนั้น รักพระโพธิสัตว์เหลือเกิน นางเห็นสุทัสสนะจะไปจึงร้องขอว่า ข้าแต่พี่ น้องลำบากใจเหลือเกิน น้องขอไปกับพี่ด้วย

สุทัสสนะกล่าวว่า ดูก่อน น้องไม่สามารถไปกับพี่ได้ พี่จะไปด้วยเพศบรรพชิต

อัจจิมุขีกล่าวว่า ข้าแต่พี่ น้องจะกลายเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่

สุทัสสนะกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นจงมาไปกันเถิด นางอัจจิมุขีจึงแปลงเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่




สุทัสสนะคิดว่า เราจักตรวจสอบไปตั้งแต่ต้น ดังนี้แล้วจึงถามถึงที่ ๆ พระภูริทัตไปรักษาอุโบสถกะภรรยาพระภูริทัตก่อนแล้ว จึงไปในที่นั้นแลเห็นโลหิตและที่ถักกระโปรงที่ทำด้วยเถาวัลย์ ในที่ ๆ อาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ รู้ชัดว่าหมองูจับภูริทัตไป ก็เกิดความโศกขึ้นทันที มีเนตรนองไปด้วยน้ำตา จึงตามรอยอาลัมพายน์ ไปจนถึงบ้านที่หมออาลัมพายน์ให้พระมหาสัตว์เล่นครั้งแรกจึงถามพวกมนุษย์ว่า หมองู เอานาคราชอย่างนี้มาเล่นในบ้านนี้บ้างหรือไม่

มนุษย์ตอบว่า อาลัมพายน์เอานาคราชอย่างนี้มาเล่น แต่นั้นถึงวันนี้ประมาณหนึ่งเดือนแล้ว

สุทัสสนะถามว่า หมองูนั้นได้อะไรบ้างไหม

มนุษย์ตอบว่า ที่บ้านนี้หมองูได้ทรัพย์ประมาณพันหนึ่งขอรับ

สุทัสสนะถามว่าบัดนี้หมองูไปไหน

มนุษย์ตอบว่า หมองูไปบ้านชื่อโน้น

สุทัสสนะถามเรื่อยไปตั้งแต่บ้านนั้น จนถึงประตูพระราชฐาน


จบวิลาปกัณฑ์. 

จาก facebook 

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๔

ตอนที่ ๔

ครุฑกัณฑ์

ในกาลนั้น ยังมีครุฑตนหนึ่ง อยู่ที่ต้นงิ้วทางมหาสมุทรภาคใต้ กระพือลมปีกแหวกน้ำในมหาสมุทรลงไป จับศีรษะนาคราชได้ตัวหนึ่ง แท้จริงในกาลนั้น ครุฑทั้งหลาย ยังไม่รู้จักวิธีจับนาค ครั้นภายหลังจึงรู้จักวิธีจับนาคอย่างในปัณฑรกชาดก แต่ครุฑตัวนั้น เมื่อจับนาคทางศีรษะ ยังไม่ทันน้ำจะท่วมมาถึง ก็หิ้วนาคขึ้นได้ ปล่อยให้นาคห้อยหางลง พาบินไปเบื้องบนป่าหิมพานต์



ก็ในกาลนั้นมีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง ออกบวชเป็นฤๅษีสร้างบรรณศาลาอาศัย อยู่ในหิมวันตประเทศ ที่สุดจงกรมของฤๅษีนั้นมีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ฤๅษีนั้นทำที่พักผ่อนหย่อนใจในกลางวันที่โคนต้นไทรนั้นครุฑหิ้วนาคผ่านไปถึงตรงยอดไทร นาคปล่อยหางห้อยอยู่ก็เอาหางพันคาคบต้นไทรด้วยหมายใจจะให้พ้น ครุฑมิทันรู้ก็รีบไปทางอากาศ เพราะมันมีกำลังมาก ต้นไทรพร้อมทั้งรากติดหางนาคไปด้วย เมื่อครุฑพานาคไปถึงต้นงิ้วก็จิกด้วยจะงอยปาก ฉีกท้องนาคกินมันเหลวของนาค ทิ้งร่างลงไปในท้องมหาสมุทร ต้นไทรก็ตกลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ครุฑสงสัยว่าเสียงอะไร ก็มองไปดูเบื้องต่ำแลเห็นต้นไทร จึงคิดในใจว่า ต้นไทรนี้เราถอนมาแต่ไหน ก็นึกได้โดยถ่องแท้ว่า ต้นไทรนั้นอยู่ท้ายที่จงกรมของพระดาบส ตัวเราจะปรากฏว่า ทำอกุศลหรือไม่หนอ เราจักไปถามดาบสนั้นดูก็จะรู้ได้ ดังนี้แล้วก็แปลงเพศเป็นมาณพน้อยไปสู่สำนักพระดาบส ขณะนั้นพระดาบสกำลังทำที่นั้นให้สม่ำเสมอ พระยาสุบรรณไหว้พระดาบสแล้วก็นั่งอยู่ ณ ที่สมควร ทำทีประหนึ่งว่าไม่รู้แกล้งถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่อยู่ของอะไร ดาบสตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สุบรรณตนหนึ่งนำนาคมาเพื่อเป็นภักษาหาร เมื่อนาคเอาหางพันคาคบต้นไทรด้วยหมายจะให้พ้น สุบรรณนั้นมิทันรู้บินไปโดยเร็ว เพราะความที่ตนมีกำลังมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นไม้ในที่นี้ ก็ถูกถอนขึ้นทันทีที่ตรงนี้แหละเป็นที่แห่งต้นไทรนั้นถอนขึ้น สุบรรณถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ อกุศลกรรมจะมีแก่สุบรรณหรือไม่ ดาบสตอบว่า ถ้าหากว่าสุบรรณนั้นไม่รู้อกุศลกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีเจตนา สุบรรณถามว่า ก็อกุศลกรรมจะมีแก่นาคนั้นหรือไม่เล่าเจ้าข้า ดาบสตอบว่า นาคก็มิได้จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้ต้นไทรเสียหาย จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้พ้นภัย เพราะเหตุนั้นอกุศลกรรมก็ไม่มีแก่นาคแม้นั้นเหมือนกัน

สุบรรณได้ฟังคำของดาบสก็ยินดีจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญข้าพเจ้านี้แหละคือสุบรรณนั้น ข้าพเจ้ายินดีด้วยพระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหา ข้าพเจ้ารู้มนต์ชื่อว่า อาลัมพายน์ บทหนึ่งหาค่ามิได้ ข้าพเจ้าจะถวายมนต์นั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นส่วนบูชาอาจารย์ พระผู้เป็นเจ้าจงรับไว้เถิด ดาบสกล่าวว่าพอละ เราไม่ต้องการด้วยมนต์ ท่านจงไปเถิด สุบรรณวิงวอนอยู่บ่อย ๆ จนพระดาบสรับแล้วจึงถวายมนต์ แล้วบอกยาแก่ดาบสแล้วก็หลีกไป

จบครุฑกัณฑ์

โสมทัตกัณฑ์

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์คนหนึ่งในกรุงพาราณสีกู้ยืมหนี้สินไว้มากมาย ถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายทวงถามก็คิดว่า เราจะอยู่ในเมืองนี้ไปทำไมอีก เข้าไปตายเสียในป่ายังประเสริฐกว่า ดังนี้แล้วจึงออกจากบ้านเข้าไปในป่าจึงบรรลุถึงอาศรมแห่งพระฤๅษี ปฏิบัติพระดาบสให้ยินดีด้วยวัตตสัมปทาคุณ พระดาบสคิดว่า พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีอุปการะแก่เรายิ่งนัก เราจักให้ทิพยมนต์ซึ่งสุบรรณราชให้เราไว้แก่พราหมณ์ผู้นี้ ดังนี้แล้วก็บอกพราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เรารู้มนต์ชื่อว่าอาลัมพายน์ จักให้มนต์นั้นแก่ท่าน ท่านจงเรียนมนต์นั้นไว้

แม้เมื่อพราหมณ์นั้นห้ามว่า อย่าเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการมนต์ ก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า จนพราหมณ์รับถ้อยคำแล้วจึงให้มนต์ และบอกยาอันประกอบกับมนต์และอุปจารแห่งมนต์ พราหมณ์นั้นคิดว่า เราได้อุบายที่จะเลี้ยงชีพแล้ว ก็พักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วอ้างเหตุว่า โรคลมเบียดเบียน จนพระดาบสยอมปล่อยไปจึงกราบไหว้พระดาบส ขอขมาโทษแล้วก็ออกจากป่าไป จนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนาโดยลำดับ เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามหนทางใหญ่

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาบาทบริจาริกาของพระภูริทัตประมาณ ๑,๐๐๐ ตน ต่างถือเอาแก้วมณีที่ให้ความปรารถนาทุกอย่างนั้นออกจากนาคพิภพแล้ววางแก้วนั้นไว้บนกองทราย ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วพากันเล่นน้ำตลอดคืน ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณีนั้น ครั้นอรุณขึ้น จึงพากันตกแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง นั่งล้อมแก้วมณีให้สิริเข้าสู่กาย ฝ่ายพราหมณ์ก็เดินสาธยายมนต์มาถึงที่นั้น เหล่านางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ สำคัญว่าเสียงพราหมณ์นั้นเป็นสุบรรณ ก็สะดุ้งกลัวเพราะมรณภัยไม่ทันหยิบแก้วมณี ก็พากันแทรกปฐพีไปยังนาคพิภพ พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจว่ามนต์ของเราสำเร็จผลเดี๋ยวนี้แล้ว ก็หยิบเอาแก้วมณีนั้นไป

ขณะนั้น พราหมณ์เนสาทพร้อมโสมทัตเข้าไปสู่ป่าเพื่อล่าเนื้อ เห็นแก้วมณีนั้นในมือของพราหมณ์นั้น จึงกล่าวกะบุตรว่า ดูก่อนโสมทัต แก้วมณีดวงนี้ที่พระภูริทัตให้แก่เรามิใช่หรือ

โสมทัต ใช่แล้วพ่อ

บิดา ถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวโทษแก้วมณีดวงนั้น หลอกพราหมณ์เอาแก้วมณีนี้เสีย

โสมทัต ข้าแต่พ่อ เมื่อพระภูริทัตให้ครั้งก่อนพ่อไม่รับ แต่บัดนี้กลับจะไปหลอกพราหมณ์เล่า นิ่งเสียเถิด

พราหมณ์เนสาทจึงกล่าวว่า เรื่องนั้นยกไว้ก่อน เจ้าคอยดูเราหลอกตานั่นเถิด ว่าแล้วเมื่อจะปราศรัยกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า

แก้วมณีที่สมมติว่าเป็นมงคล เป็นของดี เป็น เครื่องปลื้มรื่นรมย์ใจเกิดแต่หิน สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ที่ท่านถืออยู่นี้ ใครได้มาไว้

ลำดับนั้น อาลัมพายน์กล่าวว่า วันนี้แต่เวลาเช้าตรู่เราเดินไปตามทางใหญ่ ได้พบแก้วมณี แวดล้อมโดยรอบด้วยนางนาคมาณวิกาผู้มีตาแดงประมาณ ๑,๐๐๐ ตน ก็นางนาคมาณวิกาทั้งหมดนั้นเห็นเราเข้าสะดุ้งตกใจแล้ว พากันทิ้งแก้วมณีนี้หนีไป

พราหมณ์เนสาท ประสงค์จะลวงอาลัมพายน์นั้น จึงประกาศโทษแห่งแก้วมณี ประสงค์จะยึดเอาเป็นของตนจึงกล่าวว่า

แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่สั่งสมมาได้ด้วยดี อันบุคคลเคารพบูชาประดับประดาเก็บรักษาไว้ดีทุกเมื่อ ยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ เมื่อบุคคลปราศจากการระวังในการเก็บรักษา หรือในการประดับประดา แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่บุคคลหามาได้โดยไม่แยบคาย ย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ คนผู้ไม่มีกุศล ไม่ควรประดับแก้วมณีอันเป็นทิพย์นี้ เราจักให้ทองคำร้อยแท่ง ขอท่านจงให้แก้วมณีนี้แก่เราเถิด

แม้แท่งทองในเรือนของท่านเพียงแท่งเดียวก็ไม่มี ผู้นั้นย่อมรู้ว่าแก้วมณีนั้นให้สิ่งสารพัดนึก เราจะอาบน้ำดำศีรษะแล้วเอาน้ำประพรมแก้วมณี จึงกล่าวว่า ท่านจงให้แท่งทอง ๑๐๐ แท่งแก่เรา เมื่อเป็นเช่นนี้เราจักให้แก้วมณีที่ปรากฏว่าเป็นของเราแก่ท่าน เพราะเหตุนั้นผู้กล้าหาญจึงกล่าวอย่างนี้

ลำดับนั้น อาลัมพายน์ กล่าวว่า

แก้วมณีของเรานี้ ไม่ควรแลกเปลี่ยนด้วยโคหรือ รัตนะ เพราะแก้วมณีอันเกิดแต่หิน บริบูรณ์ด้วย ลักษณะเราจึงไม่ขาย

พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า

ถ้าท่านไม่แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยโคหรือรัตนะ เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะแลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยอะไร ขอท่านจงบอกแก่เรา

อาลัมพายน์กล่าวว่า ผู้ใดบอกที่อยู่ของนาคใหญ่ผู้มีเดช ยากที่บุคคลจะล่วงเกินได้ เราจะให้แก้วมณีอันรุ่งเรืองด้วยรัศมีนี้

พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า ท่านเป็นครุฑผู้ประเสริฐ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาแสวงหานาค ประสงค์จะนำไปเป็นอาหารของตนหรือ

อาลัมพายน์กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ เรามิได้เป็นครุฑ เราไม่เคยเห็นครุฑ เราเป็นผู้สนใจด้วยงูพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า เป็นหมองู

พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า ท่านมีความสามารถอะไร มีศิลปพิเศษอะไร จึงไม่ยำเกรงนาค

อาลัมพายน์นั้น เมื่อจะแสดงความสามารถของตนจึงกล่าวว่า

ครุฑมาบอกวิชาหมองูอย่างสูงแก่ฤๅษีโกสิยโคตร ผู้อยู่ในป่าประพฤติตบะอยู่สิ้นกาลนาน เราเข้าไปหา ฤๅษีตนหนึ่งซึ่งนับเข้าในพวกฤๅษีผู้บำเพ็ญตน อาศัยอยู่ในระหว่างภูเขา ได้บำรุงท่านโดยเคารพ มิได้เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญวัตรและพรหมจรรย์ เป็นผู้มีโชค เมื่อได้สมาคมกับเราจึงสอนมนต์ทิพย์ให้แก่เราด้วยความรัก เราทรงไว้ซึ่งผลอันวิเศษในมนต์นั้น จึงไม่กลัวต่อนาค เราเป็นอาจารย์ของพวกหมอผู้ฆ่าอสรพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่าอาลัมพายน์

พราหมณ์เนสาท ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงคิดว่า อาลัมพายน์นี้ให้แก้วมณีแก่บุคคลผู้แสดงที่อยู่ของพระภูริทัตแก่เขา ครั้นแสดงพระภูริทัตแก่เขาแล้วจึงจักรับเอาแก้วมณี

แต่นั้นเมื่อจะปรึกษากับบุตรจึงกล่าวว่า

ดูก่อนลูกโสมทัต เราควรรับแก้วมณีไว้สิ เจ้าจงรู้ไว้ เราอย่าละสิริอันมาถึงตนด้วยท่อนไม้ตามชอบใจสิ

โสมทัตกล่าวว่า ข้าแต่พ่อผู้เป็นพราหมณ์ ภูริทัตนาคราชบูชาคุณพ่อผู้ไปถึงที่อยู่ของตน เพราะเหตุไร คุณพ่อจะปรารถนาประทุษร้าย ต่อผู้กระทำดี เพราะความหลงอย่างนี้ ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็ คงจักให้ คุณพ่อไปขอท่านเถิด ภูริทัตนาคราชคงจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่คุณพ่อ

พราหมณ์กล่าวว่า ดูก่อนโสมทัต การกินของที่ถึงมือ ที่อยู่ใน ภาชนะหรือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นความประเสริฐ ประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเรา อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย

โสมทัตกล่าวว่า คนประทุษร้ายต่อมิตร สละความเกื้อกูล จะตกหมกไหม้อยู่ในนรกอันร้ายแรง แผ่นดินย่อมสูบผู้นั้น หรือเมื่อผู้นั้นมีชีวิตอยู่ก็ซูบซีด ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ ลูกเข้าใจว่า คุณพ่อจักต้องประสบเวรที่ตนทำไว้ในไม่ช้า

พราหมณ์กล่าวว่า ลูกโสมทัตลูกยังเป็นหนุ่มไม่รู้อะไร ธรรมดาว่า พราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นกระทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เมื่อบูชามหายัญแล้ว ก็ย่อมบริสุทธิ์ได้ เราจักบูชามหายัญ ก็จักพ้นจากบาปด้วยการบูชายัญอย่างนี้

โสมทัตกล่าวว่า เชิญเถิด ลูกจะขอแยกไป ณ บัดนี้ วันนี้ลูกจะไม่ขออยู่ร่วมกับคุณพ่อ จะไม่ขอเดินทางร่วมกับคุณพ่อ ผู้ทำกรรมหยาบอย่างนี้สักก้าวเดียว

ก็แลโสมทัตมาณพครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อไม่อาจทำให้บิดาเชื่อฟังคำของตน จึงโพนทนาให้เทวดาทราบด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับคนทำบาปเห็นปานนี้ละ ครั้นประกาศแล้ว ก็หนีไปทั้ง ๆ ที่บิดาเห็นอยู่นั่นแลเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว มิให้เสื่อมฌานแล้วเกิดในพรหมโลก

จบโสมทัตกัณฑ์

ศีลกัณฑ์ 
พราหมณ์เนสาทคิดว่า โสมทัตจักไปไหน นอกจากเรือนของตนครั้นเห็นอาลัมพายน์ไม่พอใจหน่อยหนึ่ง จึงปลอบว่า ดูก่อนอาลัมพายน์ ท่านอย่าวิตกไปเลย เราจักชี้ภูริทัตให้ท่าน ดังนี้แล้ว ก็พาอาลัมพายน์ไปยังที่รักษาอุโบสถแห่งพระยานาค เห็นพระยานาคคู้ขดขนดอยู่ที่จอมปลวก จึงยืนอยู่ในที่ไม่ไกล เหยียดมือออกแล้วกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงจับเอานาคใหญ่นั้น จงส่งแก้วนั้นมาให้เรา มีรัศมีดังสีแมลงค่อมทอง ศีรษะแดง ตัวปรากฏดังกองปุยนุ่น นอนอยู่บนจอม ปลวก ท่านจงจับมันเถิดพราหมณ์

พระมหาสัตว์ ลืมเนตรขึ้นแลเห็นพราหมณ์เนสาท จึงคิดว่า เราคิดอยู่แล้วว่า พราหมณ์คนนี้จะทำอันตรายแก่อุโบสถของเรา เราจึงพาผู้นี้ไปยังนาคพิภพ แต่งให้มีสมบัติเป็นอันมาก ไม่ปรารถนาเพื่อจะรับแก้วที่เราให้ แต่บัดนี้ไปรับเอาหมองูมา ถ้าเราโกรธแก่ผู้ประทุษร้ายมิตร ศีลของเราก็จักขาด ก็เราได้อธิษฐานอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๔ ไว้ก่อนแล้วต้องให้คงที่อยู่

อาลัมพายน์จะตัด จะเผา จะฆ่า จะแทงด้วยหลาวก็ตามเถิดเราจะไม่โกรธเขาเลย ถ้าเราจะแลดูเขาด้วยความโกรธ เขาก็จะแหลกเป็นเหมือนขี้เถ้า ช่างเถอะทุบตีเราเถอะ เราจักไม่โกรธเลย

ดังนี้แล้วก็หลับเนตรลง ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีไว้เป็นเบื้องหน้า ซุกเศียรเข้าไว้ ณ ภายในขนดนอนนิ่งมิได้ไหวติงเลย

จบศีลกัณฑ์ 

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๓

ตอนที่. ๓

เนสาทกัณฑ์

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้ประตูกรุงพาราณสี พร้อมกับโสมทัตลูกชาย ไปสู่ป่าเที่ยวดักสัตว์ด้วยหลาวยนต์และบ่วงแร้ว ฆ่ามฤคได้แล้วหาบเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ

วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นไม่ได้อะไร โดยที่สุดแม้เพียงเหี้ยสักตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ถ้าเราไปมือเปล่า ๆ มารดาของเจ้าก็จะโกรธเอา เราจักพาสัตว์สักตัวหนึ่งไปให้ได้ ดังนี้แล้วจึงบ่ายหน้าตรงไปทางจอมปลวกที่พระโพธิสัตว์นอนอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อทั้งหลาย ซึ่งลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา จึงกล่าวว่า ลูกพ่อ ทางเนื้อปรากฏอยู่ เจ้าจงถอยออกไปเราจะยิงเนื้อซึ่งมาดื่มน้ำ ดังนี้แล้วจึงหยิบเอาธนูยืนแอบโคนต้นไม้ต้นหนึ่งคอยดูเนื้ออยู่

ครั้นเวลาเย็นเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์นั้นยิงเนื้อนั้น.เนื้อนั้นหาได้ล้มลงในที่นั้นไม่ ตกใจด้วยกำลังศรมีเลือดไหลวิ่งหนีไป ส่วนบิดาและบุตรพากันติดตามเนื้อนั้นไป จับเอาเนื้อนั้นในที่ ๆ มันล้มลงแล้ว ออกจากป่าถึงต้นไทรนั้น ในเวลาพระอาทิตย์ตก จึงปรึกษากันว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่สามารถจะไปได้ เราจะพักอยู่ในที่นี้แล ดังนี้แล้วจึงเอาเนื้อวางไว้ในที่สมควรข้างหนึ่ง ก็พากันขึ้นต้นไม้นอนอยู่ที่ระหว่างค่าคบไม้ ครั้นเวลาใกล้รุ่งพราหมณ์ตื่นขึ้น เอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อร้อง

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย พากันมาตกแต่งอาสนะดอกไม้เพื่อพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กลายร่างกายจากงู นิรมิตเป็นร่างทิพย์ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ด้วยลีลาดุจท้าวสักกเทวราช ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วบรรเลงทิพย์ดนตรีจับฟ้อนรำขับร้อง

พราหมณ์ ได้ฟังเสียงนั้นแล้วคิดว่า นั่นเป็นใครหนอ แล้ว จึงกล่าวว่า ลูกพ่อผู้เจริญ เมื่อไม่อาจปลุกบุตรให้ตื่นขึ้นได้ จึงคิดว่า ลูกนี้เห็นจะเหนื่อย จงนอนไปเถิด เราจักไปคนเดียว คิดแล้วก็ลงจากต้นไม้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์.เหล่านางนาคมาณวิกา เห็นพราหมณ์นั้นจึงดำลงในแผ่นดินพร้อมด้วยเครื่องดนตรีกลับไปยังนาคพิภพตามเดิม ส่วนพระโพธิสัตว์ได้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น.พราหมณ์จึงได้ถามว่า

ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผายนั่งอยู่ท่ามกลางป่า อันเต็มไปด้วยดอกไม้ สตรี ๑๐ คนเป็นใคร ทรงเครื่องประดับล้วนแล้วแต่ทองคำ นุ่งผ้างาม ยืนเคารพอยู่ ท่านเป็นใครมีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางป่าเหมือนไฟอันลุกโชนด้วยเปรียง ท่านคงเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มีอานุภาพมาก

พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้วดำริว่า ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น พราหมณ์คนนี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว จึงกล่าวว่า

เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใคร ๆ จะล่วงได้ ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลก ได้ด้วยเดช มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดาของเราชื่อ ธตรฐ เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกเราว่า ภูริทัต

ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า พราหมณ์นี้เป็นผู้ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรมของเรา ไฉนหนอเราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสียให้ใหญ่โตแล้ว จะพึงทำอุโบสถกรรมของเราให้ยืนยาวนานไปได้

ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปในนาคพิภพนั้นด้วยกัน

พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา พระมหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแล้วกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย ท่านจักอยู่เป็นสุขในนาคพิภพนั้น

พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสองไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน เมื่อบิดาและบุตรทั้งสองไปถึงนาคพิภพ พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ ๔๐๐ ทั้งสองคนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่อยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนีทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้น ก็ไปยังสำนักของพราหมณ์ถามถึงความไม่มีโรคแล้วกล่าวว่า ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกมาเถิด อย่าเบื่อหน่าย จงรื่นเริง ดังนี้แล้ว ได้กระทำปฏิสันถารกับท่านโสมทัตแล้วไปยังนิเวศน์ของพระองค์

พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อยก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่งสวย ก็ปรากฏเหมือนนางยักษิณี

พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก เราจักรู้ว่าโสมทัตนั้นเห็นอย่างไรบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังที่อยู่ของโสมทัตแล้วถามว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่

โสมทัตย้อนถามว่า ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ

พราหมณ์ตอบว่า เออ เราเบื่อหน่ายอยู่

โสมทัตถามว่า เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร

พราหมณ์ตอบว่า ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดาและพี่น้องของเจ้า พ่อโสมทัตจงไปด้วยกันเถิด

โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำ พราหมณ์คิดว่า เราได้ความตกลงใจของบุตรเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่าเราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จักให้ยศแก่เรายิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนายกย่องสมบัติของภูริทัตด้วยอุบายอย่างหนึ่ง เราจักถามว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึงเพียงนี้แล้วไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษย์โลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าพระภูริทัตตอบว่าต้องการจะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้วท่านยังละไปทำอุโบสถกรรมเพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุไรเล่า คนอย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษย์โลกเยี่ยมญาติแล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไป

ครั้นพราหมณ์คิดดังนี้ ครั้นต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่ ก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้แต่สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง ในระยะนี้ พราหมณ์มิได้แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวแก่การจะไป แต่ก็กล่าวพรรณนาถึงสมบัติของพระโพธิสัตว์ว่า

แผ่นดินมีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้น กฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง มีหญ้าเขียวชะอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระ โบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มี ดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท ๘ มุม มีเสา ๑,๐๐๐ เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดในวิมานทิพย์อันกว้างใหญ่ เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์ มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของพระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระอินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้ เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น

พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเราก็มีค่าไม่ถึงแม้ด้วยคนบำเรอของท่าน

ก็แลครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ยินท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตรตั้ง ๑,๐๐๐ เราก็ระลึกได้เพราะว่า เราปรารถนาเวชยันตปราสาท จึงกระทำอุโบสถกรรม

พราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วก็คิดว่าเราได้โอกาสจะลาไปแล้วจึงกล่าวว่า

ข้าพระองค์กับทั้งบุตรเข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤคมานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าข้าพระองค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลาพระภูริทัตผู้ทรงยศ เป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยังมนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความพอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้เป็นของไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะบูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไปเยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวแล้ว จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุขคงจะไม่บอกแก่ใคร ๆ เราจักให้แก้วมณีอันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้ ลำดับนั้นจึงกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อ ท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี ก็จะได้สมประสงค์ทุกประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด

ลำดับนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็นกุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย แก้วมณีจะมีประโยชน์อะไรแก่ข้าพระองค์

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหมจรรย์มีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลยควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ

พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก ถ้าจักมีความต้องการ

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รู้ว่าพราหมณ์นั้นไม่ปรารถนาจะอยู่ในที่นั้น จึงให้เรียกนาคมาณพ ๔ ตนมา แล้วสั่งไปว่า พวกท่านจงนำพราหมณ์ไปให้ถึงมนุษย์โลกโดยเร็ว นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่ภูริทัตตรัสใช้ให้ไปส่ง ฟังรับสั่งของภูริทัต เตรียมตัวแล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว

นาคมาณพทั้ง ๔ ขึ้นจากแม่น้ำยมุนา ส่งให้ถึงทางไปกรุงพาราณสี ก็แลครั้นส่งให้ถึงแล้วจึงกล่าวว่าไปเถิดท่าน ดังนี้แล้วก็กลับมายังนาคพิภพตามเดิม

ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อบอกแก่บุตรว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤคในที่นี้ สุกรในที่นี้ ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางแล้วกล่าวว่า พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด เมื่อโสมทัตกล่าวว่า ดีละพ่อ ทั้งสองคนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระโบกขรณีแล้วลงไปอาบน้ำ ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้นได้หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่ากลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสองนั้น แม้ธนูศรและหอกก็ได้มาปรากฏตามเดิม ฝ่ายโสมทัตเห็นดังนั้นก็ร้องว่า ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้ว พ่อ ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบ โสมทัตว่า อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่ เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต

มารดาโสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป ฝ่ายนางจึงถามบุตรว่า พ่อโสมทัต ทั้ง ๒ คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้

โสมทัตตอบว่า ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้นเราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้

มารดาถามว่า ได้แก้วแหวนอะไร ๆ มาบ้างเล่า

โสมทัตตอบว่า ไม่ได้มาเลยแม่

มารดาถามว่า ทำไมพระภูริทัตไม่ให้อะไรบ้างหรือ

โสมทัตตอบว่า พระภูริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ ๆ ไม่รับเอามา

มารดาถามว่า เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ

โสมทัตตอบว่า ข้าแต่แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช

นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระแก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวชดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า อ้ายพราหมณ์ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู

ลำดับนั้น พราหมณ์จึงปลอบนางพราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองที่ทำมาแต่เดิมแล

จบเนสาทกัณฑ์
from : Facebook

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒



ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒

พระราชาทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า "พวกท่านมาแต่ที่ไหน "

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์มาจากสำนักของพระยานาคธตรฐ"

พระราชาตรัสถามว่า "เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมาในที่นี้"

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า" ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นทูตของพระยานาคธตรฐนั้น พระยานาคธตรฐถามถึงความไม่มีโรคของพระองค์และพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ท่านจะให้สิ่งนั้นแก่พระองค์ ข่าวว่าพระองค์จะประทานนางสมุททชา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ให้เป็นบาทปริจาริกาของพระราชาของพวกข้าพระองค์"

พระราชาครั้นได้สดับดังนั้นจึงตรัสว่า

"พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ใน กาลไหน ๆ เลย พวกเราจะทำวิวาห์อันไม่สมควรนั้น ได้อย่างไรเล่า"

พวกนาคมาณพ ได้ฟังคำดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า "ถ้าความสัมพันธ์กับพระยานาคธตรฐไม่เหมาะสมกับท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงส่งเต่าชื่อว่าจิตตจูฬผู้อุปฐากของตนไปเป็นทูตแก่พระราชาของพวกเราว่า เราจะให้ธิดาของเราชื่อว่า สมุททชา เล่า ครั้นส่งสาสน์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อท่านกระทำการดูหมิ่นพระราชาของพวกเรา พวกเราแลชื่อว่าเป็นนาคมาณพจักรู้กรรมที่ควรกระทำแก่ท่าน "เมื่อจะขู่พระราชาจึงกล่าวว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพหรือแว่นแคว้นเสียเป็นแน่ เพราะเมื่อพวกนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลายเช่นพระองค์จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์เป็นมนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพวกพระยานาคธตรฐผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าววรุณนาคราช เกิดภายใต้แม่น้ำยมุนา"

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสว่า "เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ ก็ท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่กว่านาคทั้งหมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก แต่ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็นกษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ และนางสมุททชาธิดาของเราก็เป็นอภิชาต"

พวกนาคมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ประสงค์จะฆ่าพระองค์ด้วยลมในนาสิกในที่นั้นนั่นเอง แต่ก็คิดว่า เมื่อพวกเราถูกพระราชาส่งไปเพื่อกำหนดวัน การที่เราจะฆ่าพระราชานี้แล้วจากไปนั้นเป็นการไม่สมควรเลย พวกเราจักไปกราบทูลพระราชาเพื่อให้ทรงทราบ ดังนี้แล้ว พวกเขาจึงลุกจากที่นั้นออกจากราชนิเวศน์ดำลงแผ่นดินไปในที่นั้น เมื่อถึงภพนาคแล้วจึงเข้าเฝ้าท้าวธตรฐ เมื่อถูกพระยานาคถามว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านได้ราชธิดาแล้วหรือ "

พวกนาคมานพก็แสดงความโกรธต่อพระเจ้าพาราณสีจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ส่งพวกข้าพระองค์ไปในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเหตุอันไม่สมควรอะไรเลยถ้าพระองค์ปรารถนาจะฆ่า พระองค์จงฆ่าพวกข้าพระองค์เสียในที่นี้แหละ พระราชานั้นด่าบริภาษพระองค์ ยกธิดาของตนขึ้นด้วยความเมาในชาติ ดังนี้แล้วกราบทูลถึงความที่พระเจ้าพาราณสีกล่าว" สร้างความโกรธเคืองให้เกิดขึ้นกับพระยานาคราชอย่างยิ่ง พระยานาคราชนั้นจึงตรัสสั่งให้ประชุมไพร่พลนาคทั้งสิ้น

ลำดับนั้นเมื่อพวกนาคทั้งหมดมาประชุมกันก็ทูลถามพระยานาคราชว่า" พระองค์จะให้พวกข้าพระองค์ทำอย่างไร พระเจ้าข้า"

พระองค์จึงตรัสว่า นาคท่านจงพาบริวารทั้งหมดไปยังกรุงพาราณสี  พวกนาคเหล่านั้นถามว่า "เมื่อพวกข้าพระองค์ไปในที่นั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร พระเจ้าข้า หรือพระองค์จะให้พวกข้าพระองค์จะทำมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นขี้เถ้าโดยการพ่นพิษออกมาทางนาสิก พระเจ้าข้า"

พระยานาคไม่ปรารถนาความพินาศแก่นางสมุททชา เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในราชธิดา จึงตรัสว่าพวกนาคอย่าพึงเบียดเบียนใคร ๆ ลำดับนั้น พวกนาคจึงกล่าวกะพระราชาว่า "ข้าแต่มหาราช ถ้าไม่เบียดเบียนมนุษย์ พวกเราไปในที่นั้นแล้วจะกระทำอะไร "

ลำดับนั้นพระราชาจึงตรัสกะพวกนาคนั้นว่า "นาคทั้งหลายจงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ และบนเสาระเนียด พ่นควันออกมา ส่งเสียงขู่ฟ่อ ฟ่อ แต่จงอย่าแสดงตนแก่คน ๔ ประเภท คือ เด็ก คนแก่ชรา หญิงมีครรภ์ และนางสมุททชา แม้ตัวเราเองก็จะนิรมิตตัวใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองใหญ่ด้วยขนดหาง ยังความกลัวให้เกิดแก่ ชนชาวกาสี"

นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว ก็ พากันเข้าไปยังกรุงพาราณสี แต่มิได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย แผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้าน เรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ พวกสตรีเป็นอันมากได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพาน ห้อยอยู่ ตามที่ต่าง ๆ หายใจฟู่ ๆ ก็พากันร้องคร่ำครวญ ชาวเมืองพาราณสีมีความสะดุ้งกลัว เดือดร้อนก็พากัน ไปประชุมกอดอกร้องทุกข์ว่า" ขอพระองค์ จงพระราชทานพระราชธิดาแก่พระยานาคเถิดพระเจ้าข้า"

แม้นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่เป็นทูตมาในครั้งก่อน คราวนี้ก็มาขดวงล้อมเท้าทั้ง ๔ แห่งที่บรรทมของพระราชา แผ่พังพานใหญ่บนพระเศียรได้แยกเขี้ยวยืนดูอยู่ เหมือนจะฉกกัดศีรษะด้วยปาก

พระเจ้าพาราณสีทรงบรรทมอยู่ ได้สดับเสียงชาวพระนครและมเหสีของพระองค์ร้องคร่ำครวญอยู่ และพระองค์ถูกนาคมาณพทั้ง ๔ คุกคาม ทรงสะดุ้งพระทัยกลัวมรณภัย จึงได้ตรัสขึ้น ๓ ครั้งว่า "เราจะให้พระนางสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่ท้าวธตรฐ"


นาคราชทั้งหมดครั้นได้ฟังพระดำรัสดังนั้นแล้ว ก็ถอยออกไปนอกพระนครยังที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งคาวุต (๔ กิโลเมตร) สร้างนครขึ้นแห่งหนึ่งงดงามเหมือนเทวนคร แล้วจึงส่งบรรณาการไปยังพระราชาว่า ขอพระองค์จงส่งพระธิดามาเถิด

พระราชารับเอาเครื่องบรรณาการที่พวกนาคนำมา แล้วจึงส่งพวกนาคเหล่านั้นกลับไปว่า พวกท่านไปเถิด เราจักส่งธิดาไปในความคุ้มครองของพวกอำมาตย์ของเรา แล้วรับสั่งให้เรียกธิดามาให้ขึ้นสู่ปราสาทชั้นบน ให้เปิดสีหบัญชรแล้วทรงชี้ให้ดูว่า "ดูก่อนแม่ เจ้าจงดูนครอันตบแต่งแล้วนั้น เจ้าจงไปเป็นอัครมเหสีของพระราชานั้นในที่นั้น นครนั้นไม่ไกลแต่ที่นี้ เมื่อเวลาเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายนครนั้นขึ้นมา เจ้าสามารถจะมาในที่นี้ได้ เจ้าพึงมาในที่นี้"

แล้วทรงให้สนานศีรษะ ประดับพระธิดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้นั่งในวอที่ปกปิดแล้วได้ประทานส่งไปในความคุ้มครองของอำมาตย์ของพระองค์

พระยานาคทั้งหลายกระทำการต้อนรับพระธิดาแล้วได้กระทำมหาสักการะ อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปสู่พระนคร ถวายพระธิดานั้นแก่ท้าวเธอ ได้รับพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแล้วกลับมา

พระยานาคราชให้พระธิดาขึ้นสู่ปราสาท ให้นอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ที่ประดับไว้ ในขณะนั้นนั่นเอง พวกนาคมาณพก็แปลงเพศเป็นคนค่อมและคนเตี้ยเป็นต้น แวดล้อมพระธิดาเหมือนพวกบริจาริกาของมนุษย์ พระธิดาพอนอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ ถูกต้องสัมผัสอันเป็นทิพย์เท่านั้นก็ก้าวลงสู่ความหลับ

ท้าวธตรฐพาพระธิดาพร้อมบริษัทนาคหายไปในที่นั้น แล้วไปปรากฏในภพนาค

พระราชธิดาเมื่อทรงตื่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรที่บรรทมอันเป็นทิพย์ที่ตบแต่งไว้ และสถานที่อื่นเช่นปราสาทอันสร้างด้วยทองคำและสร้างด้วยแก้วมณี พระอุทยานและสระโบกขรณี เหมือนเทพนครที่ตบแต่งไว้ จึงตรัสถามหญิงบำเรอเหล่านั้นว่า นครนี้ช่างตบแต่งงามเหลือเกิน ไม่เหมือนนครของเรา นครนี้เป็นของใคร

หญิงบำเรอทูลว่า ข้าแต่พระเทวีนั่นเป็นของพระสวามีของพระนาง พระเจ้าข้า ผู้ที่มีบุญน้อยย่อมไม่ได้สมบัติเห็นปานนี้ ท่านได้สมบัตินี้ เพราะท่านมีบุญมาก

ฝ่ายท้าวธตรฐ รับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศไปในตลอดภพนาคซึ่งมีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ว่า ผู้ใด ๆ แสดงเพศงูแด่พระนางสมุททชา ผู้นั้น ๆ จักต้องราชทัณฑ์ เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าแสดงตนในเพศงูแก่พระนางเลย เพราะความสำคัญว่าเป็นโลกมนุษย์ พระนางจึงชื่นชมยินดีกับท้าวธตรฐนั้น ในที่นั้นนั่นเอง อยู่สังวาสด้วยความรักด้วยอาการอย่างนี้

จบนครกัณฑ์

อุโบสถกัณฑ์

       ครั้นต่อมาพระนางจึงทรงครรภ์ ประสูติพระโอรสพวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า สุทัสสนะ เพราะเห็นแล้วให้เกิดความรัก ในเวลาพระโอรสทรงดำเนินเดินได้ พระนางประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า ทัตตะ ก็พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์   ต่อมาพระนางประสูติโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติตั้งชื่อท่านว่า สุโภคะ และพระนางประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า อริฏฐะ ดังนั้นพระนางแม้ประสูติพระโอรส ๔ พระองค์แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นภพของนาคอยู่ดี

ภายหลังวันหนึ่งพวกนาคหนุ่ม ๆ บอกแก่พระโอรสชื่อว่า อริฏฐะว่า มารดาของพระองค์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนางนาค พระโอรสนามว่า อริฏฐะ คิดว่าเราจะทดสอบพระมารดานั้น ครั้นวันหนึ่งเมื่อเสวยนมจึงนิรมิตสรีระเป็นงู เอาปลายหางเสียดสีหลังเท้าพระมารดา พระนางเห็นร่างงูของพระโอรสนามว่า อริฏฐะ จึงตกพระทัยสะดุ้งกลัวแล้วกรีดร้อง ทิ้งพระโอรสไปที่พื้น นัยน์ตาของพระโอรสนั้นจึงแตกไปเพราะเล็บ โลหิตก็ไหล

พระราชาทรงสดับเสียงของพระนาง จึงตรัสถามว่า "นั่นเสียงกรีดร้องของใคร "เมื่อทรงสดับเรื่องที่พระโอรสนามว่าอริฏฐะกระทำ จึงทรงกริ้วตรัสว่า "พวกท่านจงพาอริฏฐะนั้นไปประหารเสีย"

พระราชธิดาทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้ว จึงตรัสด้วยความสิเนหาในบุตรว่า "พระเจ้าข้า นัยน์ตาบุตรของหม่อมฉันแตกไปแล้วขอพระองค์จงงดโทษให้แก่บุตรของหม่อมฉันเถิด"

พระราชาเมื่อพระนางตรัสอย่างนั้น จึงตรัสว่า เราไม่อาจทำอะไรได้ จึงงดโทษให้

ก็ในวันนั้นพระนางจึงได้ทราบความจริงว่านี้เป็นภพนาค นับแต่นั้นมา พระโอรสนามว่าอริฏฐะ ได้ชื่อว่าอริฏฐะบอด

ฝ่ายพระโอรสทั้ง ๔ องค์เมื่อทรงเติบใหญ่แล้ว พระบิดาจึงได้ทรงประทานรัชสมบัติแห่งละ ๑๐๐ โยชน์ พระราชทานนางนาคกัญญาแห่งละ ๑๖,๐๐๐ นาง พระบิดาทรงเหลือรัชสมบัติเพียง ๑๐๑ โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง ๓ มาเฝ้าพระมารดาบิดาทุก ๆ เดือน ฝ่ายพระโพธิสัตว์มาทุกกึ่งเดือน

ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ผู้เป็นจอมแห่งพญานาคราชทั้งปวงพร้อมด้วยนาคบริวารไปยังดาวดึงสพิภพเพื่อเข้าเฝ้าท้าวสักกะ ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปกับท้าวมหาราชวิรูปักข์ ในครั้งนั้นได้มีการถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่สามารถจะแก้ปัญหานั้นได้ มีแต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์อันประเสริฐเท่านั้นจึงแก้ได้

ลำดับนั้น พระเทวราชาทรงบูชาพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์แล้ว ตรัสว่า พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต เพราะเหตุนั้นจึงได้ตั้งชื่อท่านว่า ภูริทัต ตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเวลาที่ท่านได้ไปเข้าเฝ้าท้าวสักกะได้ทรงเห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ก็ทรงปรารถนาใคร่จะได้ในเทวสมบัติดังกล่าว ทรงคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพเยี่ยงนาคอย่างนี้ซึ่งมีกบเป็นภักษา เรากลับไปสู่ภพนาคแล้วประพฤติศีลอยู่จำอุโบสถ เพื่อจักเป็นอานิสงส์ให้ได้เทวสมบัติตามที่ปรารถนา

คิดดังนี้แล้วจึงกลับมาภพนาค ทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า พระแม่ พ่อ "หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม"

พระมารดาพระบิดาตรัสว่า "ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอกจงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เพราะว่าเมื่อพวกนาคออกไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น" 

พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง

ลำดับนั้น นางนาคผู้เป็นบริวารต่างก็เล่นดนตรีต่าง ๆ แวดล้อมพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์เพื่อกระทำอุโบสถ แล้วไม่ได้บอกแก่มารดาและบิดา เพราะกลัวจะถูกห้ามจึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแลพวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ ๑๐ นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังที่นั้น บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิมดังนี้

พระโพธิสัตว์ทรงสั่งดังนั้นแล้วก็ไปในที่นั้น วงขนดบนจอมปลวกแล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า "ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด" แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้นนางมาณวิกามาปฏิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอนแล้วกลับมาสู่ภพนาค เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะกาลผ่านไปยาวนาน

จบอุโบสถกัณฑ์