แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศีลอุปบารมี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศีลอุปบารมี แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒



ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒

พระราชาทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า "พวกท่านมาแต่ที่ไหน "

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์มาจากสำนักของพระยานาคธตรฐ"

พระราชาตรัสถามว่า "เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมาในที่นี้"

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า" ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นทูตของพระยานาคธตรฐนั้น พระยานาคธตรฐถามถึงความไม่มีโรคของพระองค์และพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ท่านจะให้สิ่งนั้นแก่พระองค์ ข่าวว่าพระองค์จะประทานนางสมุททชา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ให้เป็นบาทปริจาริกาของพระราชาของพวกข้าพระองค์"

พระราชาครั้นได้สดับดังนั้นจึงตรัสว่า

"พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ใน กาลไหน ๆ เลย พวกเราจะทำวิวาห์อันไม่สมควรนั้น ได้อย่างไรเล่า"

พวกนาคมาณพ ได้ฟังคำดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า "ถ้าความสัมพันธ์กับพระยานาคธตรฐไม่เหมาะสมกับท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงส่งเต่าชื่อว่าจิตตจูฬผู้อุปฐากของตนไปเป็นทูตแก่พระราชาของพวกเราว่า เราจะให้ธิดาของเราชื่อว่า สมุททชา เล่า ครั้นส่งสาสน์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อท่านกระทำการดูหมิ่นพระราชาของพวกเรา พวกเราแลชื่อว่าเป็นนาคมาณพจักรู้กรรมที่ควรกระทำแก่ท่าน "เมื่อจะขู่พระราชาจึงกล่าวว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพหรือแว่นแคว้นเสียเป็นแน่ เพราะเมื่อพวกนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลายเช่นพระองค์จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์เป็นมนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพวกพระยานาคธตรฐผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าววรุณนาคราช เกิดภายใต้แม่น้ำยมุนา"

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสว่า "เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ ก็ท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่กว่านาคทั้งหมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก แต่ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็นกษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ และนางสมุททชาธิดาของเราก็เป็นอภิชาต"

พวกนาคมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ประสงค์จะฆ่าพระองค์ด้วยลมในนาสิกในที่นั้นนั่นเอง แต่ก็คิดว่า เมื่อพวกเราถูกพระราชาส่งไปเพื่อกำหนดวัน การที่เราจะฆ่าพระราชานี้แล้วจากไปนั้นเป็นการไม่สมควรเลย พวกเราจักไปกราบทูลพระราชาเพื่อให้ทรงทราบ ดังนี้แล้ว พวกเขาจึงลุกจากที่นั้นออกจากราชนิเวศน์ดำลงแผ่นดินไปในที่นั้น เมื่อถึงภพนาคแล้วจึงเข้าเฝ้าท้าวธตรฐ เมื่อถูกพระยานาคถามว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านได้ราชธิดาแล้วหรือ "

พวกนาคมานพก็แสดงความโกรธต่อพระเจ้าพาราณสีจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ส่งพวกข้าพระองค์ไปในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเหตุอันไม่สมควรอะไรเลยถ้าพระองค์ปรารถนาจะฆ่า พระองค์จงฆ่าพวกข้าพระองค์เสียในที่นี้แหละ พระราชานั้นด่าบริภาษพระองค์ ยกธิดาของตนขึ้นด้วยความเมาในชาติ ดังนี้แล้วกราบทูลถึงความที่พระเจ้าพาราณสีกล่าว" สร้างความโกรธเคืองให้เกิดขึ้นกับพระยานาคราชอย่างยิ่ง พระยานาคราชนั้นจึงตรัสสั่งให้ประชุมไพร่พลนาคทั้งสิ้น

ลำดับนั้นเมื่อพวกนาคทั้งหมดมาประชุมกันก็ทูลถามพระยานาคราชว่า" พระองค์จะให้พวกข้าพระองค์ทำอย่างไร พระเจ้าข้า"

พระองค์จึงตรัสว่า นาคท่านจงพาบริวารทั้งหมดไปยังกรุงพาราณสี  พวกนาคเหล่านั้นถามว่า "เมื่อพวกข้าพระองค์ไปในที่นั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร พระเจ้าข้า หรือพระองค์จะให้พวกข้าพระองค์จะทำมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นขี้เถ้าโดยการพ่นพิษออกมาทางนาสิก พระเจ้าข้า"

พระยานาคไม่ปรารถนาความพินาศแก่นางสมุททชา เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในราชธิดา จึงตรัสว่าพวกนาคอย่าพึงเบียดเบียนใคร ๆ ลำดับนั้น พวกนาคจึงกล่าวกะพระราชาว่า "ข้าแต่มหาราช ถ้าไม่เบียดเบียนมนุษย์ พวกเราไปในที่นั้นแล้วจะกระทำอะไร "

ลำดับนั้นพระราชาจึงตรัสกะพวกนาคนั้นว่า "นาคทั้งหลายจงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ และบนเสาระเนียด พ่นควันออกมา ส่งเสียงขู่ฟ่อ ฟ่อ แต่จงอย่าแสดงตนแก่คน ๔ ประเภท คือ เด็ก คนแก่ชรา หญิงมีครรภ์ และนางสมุททชา แม้ตัวเราเองก็จะนิรมิตตัวใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองใหญ่ด้วยขนดหาง ยังความกลัวให้เกิดแก่ ชนชาวกาสี"

นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว ก็ พากันเข้าไปยังกรุงพาราณสี แต่มิได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย แผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้าน เรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ พวกสตรีเป็นอันมากได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพาน ห้อยอยู่ ตามที่ต่าง ๆ หายใจฟู่ ๆ ก็พากันร้องคร่ำครวญ ชาวเมืองพาราณสีมีความสะดุ้งกลัว เดือดร้อนก็พากัน ไปประชุมกอดอกร้องทุกข์ว่า" ขอพระองค์ จงพระราชทานพระราชธิดาแก่พระยานาคเถิดพระเจ้าข้า"

แม้นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่เป็นทูตมาในครั้งก่อน คราวนี้ก็มาขดวงล้อมเท้าทั้ง ๔ แห่งที่บรรทมของพระราชา แผ่พังพานใหญ่บนพระเศียรได้แยกเขี้ยวยืนดูอยู่ เหมือนจะฉกกัดศีรษะด้วยปาก

พระเจ้าพาราณสีทรงบรรทมอยู่ ได้สดับเสียงชาวพระนครและมเหสีของพระองค์ร้องคร่ำครวญอยู่ และพระองค์ถูกนาคมาณพทั้ง ๔ คุกคาม ทรงสะดุ้งพระทัยกลัวมรณภัย จึงได้ตรัสขึ้น ๓ ครั้งว่า "เราจะให้พระนางสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่ท้าวธตรฐ"


นาคราชทั้งหมดครั้นได้ฟังพระดำรัสดังนั้นแล้ว ก็ถอยออกไปนอกพระนครยังที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งคาวุต (๔ กิโลเมตร) สร้างนครขึ้นแห่งหนึ่งงดงามเหมือนเทวนคร แล้วจึงส่งบรรณาการไปยังพระราชาว่า ขอพระองค์จงส่งพระธิดามาเถิด

พระราชารับเอาเครื่องบรรณาการที่พวกนาคนำมา แล้วจึงส่งพวกนาคเหล่านั้นกลับไปว่า พวกท่านไปเถิด เราจักส่งธิดาไปในความคุ้มครองของพวกอำมาตย์ของเรา แล้วรับสั่งให้เรียกธิดามาให้ขึ้นสู่ปราสาทชั้นบน ให้เปิดสีหบัญชรแล้วทรงชี้ให้ดูว่า "ดูก่อนแม่ เจ้าจงดูนครอันตบแต่งแล้วนั้น เจ้าจงไปเป็นอัครมเหสีของพระราชานั้นในที่นั้น นครนั้นไม่ไกลแต่ที่นี้ เมื่อเวลาเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายนครนั้นขึ้นมา เจ้าสามารถจะมาในที่นี้ได้ เจ้าพึงมาในที่นี้"

แล้วทรงให้สนานศีรษะ ประดับพระธิดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้นั่งในวอที่ปกปิดแล้วได้ประทานส่งไปในความคุ้มครองของอำมาตย์ของพระองค์

พระยานาคทั้งหลายกระทำการต้อนรับพระธิดาแล้วได้กระทำมหาสักการะ อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปสู่พระนคร ถวายพระธิดานั้นแก่ท้าวเธอ ได้รับพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแล้วกลับมา

พระยานาคราชให้พระธิดาขึ้นสู่ปราสาท ให้นอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ที่ประดับไว้ ในขณะนั้นนั่นเอง พวกนาคมาณพก็แปลงเพศเป็นคนค่อมและคนเตี้ยเป็นต้น แวดล้อมพระธิดาเหมือนพวกบริจาริกาของมนุษย์ พระธิดาพอนอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ ถูกต้องสัมผัสอันเป็นทิพย์เท่านั้นก็ก้าวลงสู่ความหลับ

ท้าวธตรฐพาพระธิดาพร้อมบริษัทนาคหายไปในที่นั้น แล้วไปปรากฏในภพนาค

พระราชธิดาเมื่อทรงตื่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรที่บรรทมอันเป็นทิพย์ที่ตบแต่งไว้ และสถานที่อื่นเช่นปราสาทอันสร้างด้วยทองคำและสร้างด้วยแก้วมณี พระอุทยานและสระโบกขรณี เหมือนเทพนครที่ตบแต่งไว้ จึงตรัสถามหญิงบำเรอเหล่านั้นว่า นครนี้ช่างตบแต่งงามเหลือเกิน ไม่เหมือนนครของเรา นครนี้เป็นของใคร

หญิงบำเรอทูลว่า ข้าแต่พระเทวีนั่นเป็นของพระสวามีของพระนาง พระเจ้าข้า ผู้ที่มีบุญน้อยย่อมไม่ได้สมบัติเห็นปานนี้ ท่านได้สมบัตินี้ เพราะท่านมีบุญมาก

ฝ่ายท้าวธตรฐ รับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศไปในตลอดภพนาคซึ่งมีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ว่า ผู้ใด ๆ แสดงเพศงูแด่พระนางสมุททชา ผู้นั้น ๆ จักต้องราชทัณฑ์ เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าแสดงตนในเพศงูแก่พระนางเลย เพราะความสำคัญว่าเป็นโลกมนุษย์ พระนางจึงชื่นชมยินดีกับท้าวธตรฐนั้น ในที่นั้นนั่นเอง อยู่สังวาสด้วยความรักด้วยอาการอย่างนี้

จบนครกัณฑ์

อุโบสถกัณฑ์

       ครั้นต่อมาพระนางจึงทรงครรภ์ ประสูติพระโอรสพวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า สุทัสสนะ เพราะเห็นแล้วให้เกิดความรัก ในเวลาพระโอรสทรงดำเนินเดินได้ พระนางประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า ทัตตะ ก็พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์   ต่อมาพระนางประสูติโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติตั้งชื่อท่านว่า สุโภคะ และพระนางประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า อริฏฐะ ดังนั้นพระนางแม้ประสูติพระโอรส ๔ พระองค์แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นภพของนาคอยู่ดี

ภายหลังวันหนึ่งพวกนาคหนุ่ม ๆ บอกแก่พระโอรสชื่อว่า อริฏฐะว่า มารดาของพระองค์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนางนาค พระโอรสนามว่า อริฏฐะ คิดว่าเราจะทดสอบพระมารดานั้น ครั้นวันหนึ่งเมื่อเสวยนมจึงนิรมิตสรีระเป็นงู เอาปลายหางเสียดสีหลังเท้าพระมารดา พระนางเห็นร่างงูของพระโอรสนามว่า อริฏฐะ จึงตกพระทัยสะดุ้งกลัวแล้วกรีดร้อง ทิ้งพระโอรสไปที่พื้น นัยน์ตาของพระโอรสนั้นจึงแตกไปเพราะเล็บ โลหิตก็ไหล

พระราชาทรงสดับเสียงของพระนาง จึงตรัสถามว่า "นั่นเสียงกรีดร้องของใคร "เมื่อทรงสดับเรื่องที่พระโอรสนามว่าอริฏฐะกระทำ จึงทรงกริ้วตรัสว่า "พวกท่านจงพาอริฏฐะนั้นไปประหารเสีย"

พระราชธิดาทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้ว จึงตรัสด้วยความสิเนหาในบุตรว่า "พระเจ้าข้า นัยน์ตาบุตรของหม่อมฉันแตกไปแล้วขอพระองค์จงงดโทษให้แก่บุตรของหม่อมฉันเถิด"

พระราชาเมื่อพระนางตรัสอย่างนั้น จึงตรัสว่า เราไม่อาจทำอะไรได้ จึงงดโทษให้

ก็ในวันนั้นพระนางจึงได้ทราบความจริงว่านี้เป็นภพนาค นับแต่นั้นมา พระโอรสนามว่าอริฏฐะ ได้ชื่อว่าอริฏฐะบอด

ฝ่ายพระโอรสทั้ง ๔ องค์เมื่อทรงเติบใหญ่แล้ว พระบิดาจึงได้ทรงประทานรัชสมบัติแห่งละ ๑๐๐ โยชน์ พระราชทานนางนาคกัญญาแห่งละ ๑๖,๐๐๐ นาง พระบิดาทรงเหลือรัชสมบัติเพียง ๑๐๑ โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง ๓ มาเฝ้าพระมารดาบิดาทุก ๆ เดือน ฝ่ายพระโพธิสัตว์มาทุกกึ่งเดือน

ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ผู้เป็นจอมแห่งพญานาคราชทั้งปวงพร้อมด้วยนาคบริวารไปยังดาวดึงสพิภพเพื่อเข้าเฝ้าท้าวสักกะ ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปกับท้าวมหาราชวิรูปักข์ ในครั้งนั้นได้มีการถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่สามารถจะแก้ปัญหานั้นได้ มีแต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์อันประเสริฐเท่านั้นจึงแก้ได้

ลำดับนั้น พระเทวราชาทรงบูชาพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์แล้ว ตรัสว่า พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต เพราะเหตุนั้นจึงได้ตั้งชื่อท่านว่า ภูริทัต ตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเวลาที่ท่านได้ไปเข้าเฝ้าท้าวสักกะได้ทรงเห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ก็ทรงปรารถนาใคร่จะได้ในเทวสมบัติดังกล่าว ทรงคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพเยี่ยงนาคอย่างนี้ซึ่งมีกบเป็นภักษา เรากลับไปสู่ภพนาคแล้วประพฤติศีลอยู่จำอุโบสถ เพื่อจักเป็นอานิสงส์ให้ได้เทวสมบัติตามที่ปรารถนา

คิดดังนี้แล้วจึงกลับมาภพนาค ทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า พระแม่ พ่อ "หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม"

พระมารดาพระบิดาตรัสว่า "ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอกจงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เพราะว่าเมื่อพวกนาคออกไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น" 

พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง

ลำดับนั้น นางนาคผู้เป็นบริวารต่างก็เล่นดนตรีต่าง ๆ แวดล้อมพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์เพื่อกระทำอุโบสถ แล้วไม่ได้บอกแก่มารดาและบิดา เพราะกลัวจะถูกห้ามจึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแลพวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ ๑๐ นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังที่นั้น บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิมดังนี้

พระโพธิสัตว์ทรงสั่งดังนั้นแล้วก็ไปในที่นั้น วงขนดบนจอมปลวกแล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า "ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด" แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้นนางมาณวิกามาปฏิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอนแล้วกลับมาสู่ภพนาค เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะกาลผ่านไปยาวนาน

จบอุโบสถกัณฑ์ 



ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๑ ศีลอุปบารมี





เรื่องย่อ "พระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติ เป็นพญานาค ชื่อว่าภูริทัต รักษาอุโบสถศีล    
อยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง. แต่ ถูกพราหมณ์หมองู ผู้รู้มนต์อาลัมพายนะ                
จับตัวไปเที่ยวแสดงละคร หาเงินตามสถานที่ต่าง ๆ. นาค ไม่มีความแค้นเคือง     
คิดจะทำลายชีวิตพราหมณ์หมองูนั้น เพราะความที่ตนรักษาอุโบสถศีล.เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ไปเกิด ในเทวโลก "


ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๑  


พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกทั้งหลาย แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้

ได้ยินว่า ในวันอุโบสถ อุบาสกเหล่านั้นอธิษฐานอุโบสถแต่เช้าตรู่ แล้วจึงถวายทาน ภายหลังภัตต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปยังพระเชตวันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพื่อฟังธรรม

ก็ในกาลนั้น พระศาสดาเสด็จมายังธรรมสภา ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่เขาตบแต่งไว้ ตรวจดูภิกษุสงฆ์ ทรงทราบว่า ก็บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ธรรมกถาตั้งขึ้นปรารภภิกษุเหล่าใด พระตถาคตทั้งหลายทรงเจรจาปราศรัยกับภิกษุเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นวันนี้ธรรมกถาที่เกี่ยวกับบุพจริยา ตั้งขึ้นปรารภอุบาสกทั้งหลายดังนี้แล้ว จึงทรงเจรจาปราศรัยกับอุบาสกเหล่านั้น แล้วตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้รักษาอุโบสถหรืออุบาสกทั้งหลาย เมื่ออุบาสกกราบทูลให้ทรงทราบจึงตรัสว่า ดีละ อุบาสกทั้งหลาย ก็ข้อที่พวกเธอ เมื่อได้พระพุทธเจ้าผู้เช่นเราเป็นผู้ให้โอวาท พึงกระทำอุโบสถ จัดว่าเธอกระทำกรรมอันงาม เรื่องนี้ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้โปราณกบัณฑิตผู้ไม่เอื้อเฟื้อละยศใหญ่ กระทำอุโบสถได้เหมือนกัน ดังนี้แล้ว ได้ทรงเป็นผู้นิ่ง อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า

กัจฉปกัณฑ์

ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ทรงประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระราชโอรส แต่ครั้นเมื่อทอดพระเนตรเห็นความยิ่งใหญ่แห่งพระยศของพระราชโอรสนั้น จึงทรงเกิดความระแวงขึ้นว่า พระราชโอรสจะยึดเอาราชสมบัติ จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เธอไม่อาจจะอยู่ในที่นี้ เธอจงออกไปจากที่นี้ แล้วไปอยู่ในที่ ๆ เธอชอบใจ เมื่อเราล่วงไปแล้ว เธอจงกลับมาครองรัชสมบัติอันเป็นของแห่งตระกูล

พระราชโอรสทรงรับพระดำรัส ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วเสด็จออกจากพระนคร เสด็จไปยังแม่น้ำยมุนา แล้วให้สร้างบรรณศาลาในบริเวณระหว่างแม่น้ำยมุนากับสมุทรและภูเขา มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหารอาศัยอยู่ในที่นั้น

ครั้งนั้น นางนาคมาณวิกาผู้ที่สามีตายตนหนึ่งในภพนาค ผู้สถิตอยู่ฝั่งสมุทร เพราะมีกิเลสเกิดกระสันขึ้นจึงออกจากภพนาค เที่ยวไปที่ฝั่งสมุทร เห็นรอยเท้าของพระราชโอรส จึงเดินไปตามรอยเท้า ได้เห็นบรรณศาลานั้น

ครั้งนั้นพระราชโอรส ได้เสด็จไปสู่ป่าเพื่อต้องการผลไม้ นางเข้าไปยังบรรณศาลาเห็นเครื่องลาดทำด้วยไม้และบริขารที่เหลือ จึงคิดว่า นี้ชรอยว่าจักเป็นที่อยู่ของบรรพชิตรูปหนึ่ง เราจักทดลองดูว่าเขาบวชด้วยศรัทธาหรือไม่หนอ ก็ถ้าเขาบวชด้วยศรัทธา น้อมไปในเนกขัมมะ เขาก็จักไม่ยินดีในการนอนบนที่นอนที่เราตกแต่งไว้ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ยังยินดีอยู่ในกาม ไม่บวชด้วยศรัทธา เขาก็จักนอนในที่นอนที่เราจัดแจงไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักจับเขากระทำให้เป็นสามีแล้วจักอยู่ในที่นี้เอง

คิดดังนั้นแล้วนางจึงกลับไปสู่ภพนาค นำดอกไม้ทิพย์ และของหอมทิพย์มาจัดแจงที่นอนให้เต็มไปด้วยดอกไม้ ได้นำดอกไม้มาประดับไว้ที่บรรณศาลา เกลี่ยจุณของหอมไว้ทั่วบรรณศาลา แล้วไปยังภพนาคตามเดิม

พระราชโอรสเสด็จมาในเวลาเย็นเข้าไปยังบรรณศาลา ทรงเห็นบรรณศาลาจัดแจงไว้อย่างนั้นจึงคิดว่า ใครหนอจัดแจงที่นอนนี้ ดังนี้แล้วจึงเสวยผลไม้น้อยใหญ่ คิดว่า น่าอัศจรรย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอม น่าอัศจรรย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอม ใครตบแต่งที่นอนให้เป็นที่ชอบใจของเรา เกิดโสมนัสขึ้นด้วยมิได้บวชด้วยศรัทธา จึงนอนพลิกกลับไปกลับมาบนที่นอนดอกไม้ ก้าวลงสู่ความหลับ

วันรุ่งขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไป พระราชโอรสตื่นแล้วลุกขึ้น แต่ไม่ได้กวาดบรรณศาลา แต่ได้ออกไปเพื่อหารากไม้และผลไม้น้อยใหญ่ในป่า.ในขณะนั้น นางนาคมาณวิกามาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งก็รู้ว่า ท่านผู้นี้น้อมใจไปในกาม ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เราอาจจะจับเขาได้ คิดดังนี้แล้วจึงนำดอกไม้เก่า ๆ ออกไป นำดอกไม้สดใหม่ ๆ มา จัดแจงที่นอนดอกไม้เหมือนอย่างนั้นนั่นแล ประดับบรรณศาลาและเกลี่ยดอกไม้ในที่จงกรมแล้วไปยังภพนาคตามเดิม

แม้ในวันนั้น พระราชโอรสนั้นก็นอนบนที่นอนดอกไม้ วันรุ่งขึ้นจึงคิดว่าใครหนอประดับบรรณศาลานี้ พระองค์จึงไม่ได้ออกไปหาผลไม้น้อยใหญ่ตามปกติ แต่ได้ยืนอยู่ในที่กำบังไม่ไกลจากบรรณศาลา

ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ถือของหอมและดอกไม้เป็นอันมากมายังอาศรมบท พระราชโอรสพอเห็นนางนาคมาณวิกาผู้ทรงรูปอันเลอโฉมก็มีจิตปฏิพัทธ์ จึงเข้าไปยังบรรณศาลา ในขณะที่นางจัดแจงดอกไม้อยู่ แล้วถามว่า เจ้าเป็นใคร ?


นางตอบว่า ข้าแต่นายฉันชื่อว่า นางนาคมาณวิกา

พระราชโอรสตรัสถามว่า เธอมีสามีแล้วหรือยัง

นางตอบว่า ข้าแต่นาย เมื่อก่อนฉันมีสามี แต่เดี๋ยวนี้ฉันยังไม่มีสามีเป็นหม้ายอยู่ ท่านเล่าอยู่ที่ไหน ?

พระราชโอรสตอบว่า ฉันชื่อว่า พรหมทัตกุมาร โอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ก็ท่านเล่าเพราะเหตุไร จึงละภพนาคเที่ยวอยู่ในที่นี้

นางตอบว่า ข้าแต่นาย ดิฉันตรวจดูยศของพวกนางนาคมาณวิกาผู้มีสามีในที่นั้น อาศัยกิเลสจึงกระสันขึ้น ออกจากภพนาคนั้นเที่ยวแสวงหาสามี

พระราชโอรสตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแล นางผู้เจริญ แม้เราก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เพราะถูกพระบิดาขับไล่ จึงมาอยู่ในที่นี้ เจ้าอย่าคิดไปเลย เราจักเป็นสามีของเจ้า

แล้วคนทั้งสองก็ได้อยู่สมัครสังวาสกันในที่นั้นนั่นเอง นางสร้างตำหนักมีค่ามากด้วยอานุภาพของตนแล้ว นำบัลลังก์อันควรค่ามากมาแล้วตบแต่งเป็นที่นอน นับแต่นั้นมา พระราชโอรสนั้นก็ไม่ได้เสวยรากไม้และผลไม้น้อยใหญ่ เสวยแต่ข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์เหล่านั้นเลี้ยงชีวิต

ครั้นต่อมาภายหลัง นางนาคมาณวิกาตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย พวกญาติได้ขนานนามท่านว่า สาครพรหมทัต เพราะท่านประสูติที่ฝั่งแม่น้ำสาคร ในเวลาที่สาครพรหมทัตเดินได้ นางนาคมาณวิกาก็คลอดบุตรเป็นหญิงอีกคนหนึ่ง พวกญาติขนานนามนางว่า สมุททชาเพราะนางเกิดที่ริมฝั่งสมุทร

เมื่อระยะกาลล่วงเลยไป ก็มีพรานไพรชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง เที่ยวมาจนถึงที่นั้นแล้ว เมื่อได้กระทำปฏิสันถารกับพระโอรสก็จำพระราชโอรสได้ เมื่ออยู่ในที่นั้นได้ ๒-๓ วันแล้วก็กล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จักบอกความที่พระองค์อยู่ในที่นี้แก่ราชตระกูล แล้วลากลับไปยังพระนคร

ในกาลนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็สวรรคต หลังจากที่พวกอำมาตย์ได้ทำพระสรีรกิจแก่ท้าวเธอ แล้วประชุมกันในวันที่ ๗ ปรึกษากันว่า ชื่อว่า รัชสมบัติอันไม่มีพระราชา ย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ พวกเราไม่รู้ว่าพระราชโอรส ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าไม่มี จึงควรกระทำพิธีปล่อยผุสสรถ (ราชรถเสี่ยงทาย) เพื่อเสาะหาพระราชา

ขณะนั้นก็เป็นเวลาที่พรานไพรได้กลับเข้าไปสู่พระนคร เมื่อทราบเรื่องนั้นจึงไปยังที่อยู่ของพวกอำมาตย์แล้วได้บอกเรื่องที่ตนไปพบพระราชโอรส

อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้วจึงได้ทำสักการะแก่เขา ให้เขาเป็นผู้นำทางไปในที่นั้น ได้กระทำปฏิสันถารแล้ว บอกความที่พระราชาสวรรคตแล้ว ทูลว่าขอพระองค์จงครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า

พระราชโอรสทรงดำริว่าเราจักรู้จิตของนางนาคมาณวิกา ดังนี้แล้วเข้าไปหาเธอแล้วตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ พระบิดาของเราสวรรคตแล้ว อำมาตย์ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อยกฉัตรให้เรา ไปกันเถิดนางผู้เจริญ เราทั้งสองจักครองรัชสมบัติในกรุงพาราณสีประมาณ ๑๒ โยชน์ เธอจักเป็นใหญ่กว่าหญิง ๑๖,๐๐๐ คน

นางกล่าวว่าข้าแต่นาย ดิฉันไม่อาจไปกับท่านได้

พระราชโอรสถามว่า เพราะเหตุอะไร ?

นางกล่าวว่า พวกเราเป็นอสรพิษร้าย โกรธเร็ว ย่อมโกรธแม้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย และชื่อว่าการอยู่ร่วมผัวเป็นภาระหนัก ถ้าดิฉันเห็นหรือได้ยินสิ่งอะไรก็โกรธ แลดูอะไร จักกระจัดกระจายไปเหมือนกำธุลี เพราะเหตุนี้ ดิฉันจึงไม่อาจไปกับท่านได้

แม้วันรุ่งขึ้นพระราชโอรสก็อ้อนวอนเธออยู่นั่นเอง.ลำดับนั้นนางจึงกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ดิฉันจักไม่ไปด้วยปริยายไร ๆ ส่วนนาคกุมารบุตรของเราเหล่านี้ เป็นชาติมนุษย์ เพราะเกิดโดยสมภพกับท่าน ถ้าบุตรเหล่านั้นยังมีความรักในเรา ท่านจงอย่าประมาทในบุตรเหล่านั้น แต่บุตรเหล่านี้แล เป็นพืชน้ำละเอียดอ่อน เมื่อเดินทางต้องลำบากด้วยลมแดดจะพึงตาย ท่านพึงให้ขุดเรือลำหนึ่ง ให้เต็มด้วยน้ำแล้วให้บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำนำไป พึงกระทำสระโบกขรณีในพื้นที่ในภายในพระนครแก่บุตรเหล่านั้น

ก็แลนางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ไหว้พระราชโอรสทำประทักษิณ กอดพวกบุตร ให้นั่งระหว่างถัน จูบที่ศีรษะ มอบให้แก่พระราชโอรส ร้องไห้คร่ำครวญแล้วหายไปในที่นั้นนั่นเอง ได้ไปยังภพนาคตามเดิม

ฝ่ายพระราชโอรสถึงความโทมนัส มีพระเนตรนองด้วยน้ำตา ออกจากนิเวศน์ เช็ดนัยนาแล้วเข้าไปหาพวกอำมาตย์.พวกอำมาตย์เหล่านั้น อภิเษกพระราชโอรสนั้นในที่นั้นนั่นเอง แล้วทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าพระองค์จะไปยังนครของพระองค์ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงจึงรีบขุดเรือยกขึ้นสู่เกวียนให้เต็มด้วยน้ำ ขอท่านจงเกลี่ยดอกไม้ต่าง ๆ อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบนหลังน้ำ บุตรทั้งหลายของเราผู้มีพืชแต่น้ำ บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำ ในที่นั้น จักไปสบาย

พวกอำมาตย์ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น พระราชาเสด็จถึงกรุงพาราณสี เสด็จเข้าไปยังนครที่ตบแต่งไว้ แวดล้อมไปด้วยหญิงนักฟ้อน และอำมาตย์เป็นต้นประมาณ ๑๖,๐๐๐ คน ประทับนั่งบนพื้นใหญ่ เสวยน้ำมหาปานะ ๗ วัน แล้วให้สร้างสระโบกขรณี เพื่อประโยชน์แก่พวกบุตร พวกบุตรได้เล่นในที่นั้นเนืองนิตย์

ภายหลังวันหนึ่งเมื่อพวกบุตรพากันเล่นน้ำในสระโบกขรณี เต่าตัวหนึ่งเข้าไป ไม่เห็นที่ออก จึงดำลงในพื้นสระโบกขรณี ในเวลาเด็กเล่นน้ำ ผุดขึ้นจากน้ำโผล่ศีรษะขึ้นมา เห็นพวกเด็กเหล่านั้น จึงดำลงไปในน้ำอีก พวกเด็กเหล่านั้นเห็นเต่านั้นจึงสะดุ้งกลัว ไปยังสำนักของพระบิดากราบทูลว่า ข้าแต่พ่อ ในสระโบกขรณียังมียักษ์ตนหนึ่ง ทำพวกข้าพระองค์ให้สะดุ้ง

พระราชาทรงสั่งบังคับพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปจับยักษ์นั้นมา ราชบุรุษเหล่านั้นทอดแหนำเต่าไปถวายแด่พระราชา พระกุมารทั้งหลายเห็นเต่านั้นแล้วร้องว่า นี้ปีศาจพ่อ นี้ปีศาจพ่อ

พระราชาทรงกริ้วเต่าด้วยความรักในบุตร จึงสั่งบังคับว่า พวกท่านจงไปทำกรรมกรณ์แก่เต่านั้นเถิด

ในบรรดาราชบุรุษเหล่านั้น ราชบุรุษคนหนึ่งกล่าวว่าเต่านี้เป็นผู้ก่อเวรแก่พระราชา ควรจะเอามันใส่ในครกแล้วเอาสากตำทำให้เป็นจุณ อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า ควรจะปิ้งให้สุกในไฟถึง ๓ ครั้งแล้วจึงกิน.อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า ควรจะต้มมันในกระทะนั่นแล แต่อำมาตย์คนหนึ่งผู้กลัวน้ำกล่าวว่าควรจะโยนเต่านี้ลงในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา มันจะถึงความพินาศใหญ่ในที่นั้น เพราะกรรมกรณ์ของเต่านั้นเห็นปานนี้ย่อมไม่มี

เต่าได้ฟังถ้อยคำของเขาจึงโผล่ศีรษะขึ้นพูดอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุอะไรของท่าน เราทำผิดอะไร ที่ท่านวิจารถึงกรรมกรณ์เห็นปานนี้กะเรา ก็เราสามารถอดกลั้นกรรมกรณ์นอกนี้ได้ ก็แลผู้นี้เป็นผู้หยาบช้าเหลือเกิน ท่านอย่ากล่าวคำเห็นปานนี้เลย

พระราชาทรงสดับดังนั้น ควรจะสร้างทุกข์กะเต่านี้แหละดังนี้แล้วจึงให้ทิ้งลงไปในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา เต่านั้นถึงห้วงน้ำอันเป็นที่ไปสู่ภพนาคแห่งหนึ่งได้ไปสู่ภพนาคแล้ว

ลำดับนั้นพวกนาคมาณพบุตรของพญานาคชื่อว่าธตรฐ กำลังเล่นอยู่ในห้วงน้ำนั้น เห็นเต่านั้น จึงกล่าวว่า พวกท่านจงจับมันเป็นทาส

เต่านั้นคิดว่า เราพ้นจากพระหัตถ์ของพระเจ้าพาราณสีแล้วบัดนี้ถึงมือของพวกนาคผู้หยาบช้าเห็นปานนี้ เราจะพึงพ้นด้วยอุบายอะไรหนอ

เต่านั้นคิดว่า อุบายนี้ใช้ได้ เราจะพึงพูดมุสาวาทจึงจะพ้น แล้วกล่าวว่าพวกท่านมาจากสำนักของพระยานาคชื่อว่าธตรฐ เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวกะเราอย่างนี้ เราเป็นเต่าชื่อว่า จิตตจูฬ เป็นทูตแห่งพระเจ้าพาราณสีมายังสำนักของพระยานาคชื่อว่าธตรฐพระราชาของเรา ประสงค์จะให้ธิดาแก่พระยานาคชื่อว่า ธตรฐ จึงส่งเรามา ขอท่านจงแสดงเราแก่ พระยานาคนั้นเถิด

นาคมาณพเหล่านั้นเชื่อแล้วเกิดโสมนัส พาเต่านั้นไปยังสำนักพระราชากราบทูลความนั้นแล้ว พระราชารับสั่งให้เรียกเต่านั้นมาด้วยคำว่า จงนำมันมาเถิด

พอเห็นเต่านั้น จึงพอพระทัยตรัสว่า ผู้มีร่างลามกเห็นปานนี้ ไม่สามารถจะทำทูตกรรม เต่าได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็ชื่อว่าผู้เป็นทูตจะพึงมีร่างกายประมาณเท่าลำตาลหรือ ความจริงร่างกายเล็กหรือน้อยไม่เป็นประมาณ การทำกรรมในที่ที่ไปแล้ว ๆ ให้สำเร็จนั่นแล เป็นประมาณดังนั้น ข้าแต่มหาราชเจ้า ทูตเป็นอันมากของพระราชาของเราเป็นมนุษย์ ย่อมทำกรรมบนบก นกย่อมทำกรรมบนอากาศ ข้าพระองค์ชื่อว่า จิตตจูฬ ถึงฐานันดรเป็นที่โปรดปรานของพระราชา เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน ย่อมทำกรรมในน้ำ ขอพระองค์อย่าข่มขู่ ดูหมิ่นข้าพระองค์เลย ดังนี้แล้วจึงสรรเสริญคุณของตน

ลำดับนั้น พระยานาคธตรฐ จึงถามเต่านั้นว่า ก็ท่านเป็นผู้อันพระราชาส่งมาเพื่อต้องการอะไร ?

เต่ากล่าวว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระราชาของข้า ตรัสกะข้าอย่างนี้ว่า เราจะทำมิตรธรรมกับพระราชา ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น บัดนี้ เราควรจะทำมิตรธรรมกับพระยานาคธตรฐ เราจะให้นางสาวสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่พระยานาคธตรฐ จึงส่งข้ามาด้วยพระดำรัสว่า ขอท่านอย่ากระทำการเนิ่นช้า จงส่งบุรุษทั้งหลายไปกับข้า และกำหนดวันรับนางทาริกาเถิด

พระยานาคนั้นยินดีให้กระทำสักการะแล้ว ส่งนาคมาณพ ๔ นายไปกับเต่านั้นด้วยคำว่า พวกท่านไปเถิด จงฟังคำของพระราชากำหนดวันแล้วจงมา


นาคมาณพเหล่านั้น รับคำแล้วจึงพาเต่าออกจากภพนาค เต่าเห็นสระปทุมสระหนึ่งในระหว่างแม่น้ำยมุนากับกรุงพาราณสี มีความประสงค์จะหนีไปด้วยอุบายอย่างหนึ่ง จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนนาคมาณพทั้งหลาย ผู้เจริญ พระราชาของเรา และบุตรภรรยาของพระราชา เห็นเราเที่ยวไปในน้ำไปสู่พระราชนิเวศน์อ้อนวอนว่า ท่านจงให้ดอกปทุมแก่เราทั้งหลาย จงให้รากเง่าบัว เราจักถือเอารากเง่าบัวเหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น พวกท่านจงปล่อยข้า ในที่นี้ แม้เมื่อพวกท่านไม่เห็นข้า จงล่วงหน้าไปยังสำนักของพระราชา เราจักเห็นพวกท่านในที่นั้นนั่นแล

นาคมาณพเหล่านั้นเชื่อถ้อยคำของเต่านั้นจึงได้ปล่อยเต่านั้นไป เต่าได้แอบอยู่ในที่ส่วนข้างหนึ่งในที่นั้น ฝ่ายนาคมาณพไม่เห็นเต่า จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาด้วยเพศแห่งมาณพตามสัญญาว่า เราจักไปสำนักพระราชา

จบกัจฉปกัณฑ์