วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ท่องนรก



เมื่อ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พระอริยสงฆ์ท่องนรกหลายขุม..........."พญายมกล่าวว่า “มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดทุกคำของมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทรทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ตัวหนังสือจะมาปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษ"

......หลวงปู่คนิง จุลมณี ซึ่งครั้งหนึ่งท่านได้รับประสบการณ์ในการท่องนรกมาก่อนและได้นำมาบอกกล่าวให้กับเหล่าญาติโยมฟังให้เห็นถึงผลเสียแห่งการทำกรรมชั่ว

.....เหตุที่ท่านได้มีโอกาสไปท่องดูนรกมานั้น ก็เมื่อครั้งที่ร่างกายของท่านต้องเจ็บป่วยมาตลอดพรรษาหนึ่ง เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้สิบกว่าวันแล้ว ก็ไม่ได้ฉันอาหารอะไรเลย ซึ่งทำให้สังขารของท่านทนรับไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ แต่ท่านยังมีความรู้สึกด้วยสติปัญญาว่า สังขารของตนเองถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่ท่านก็ยังมีสติยังดี ไม่ตกใจหวั่นกลัวความตายแม้แต่น้อย จิตวิญญาณของท่านรู้สึกได้ว่าเดินไปออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วมาก โดยเส้นทางที่ไปนั้นเป็นทางสายใหญ่กว้างขวางมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึงแปดพันวา เป็นทางไปสู่อาคารหลังหนึ่งที่เรียกว่า “ศาลาพันห้อง” ท่านกล่าวเล่าว่า ศาลาพันห้อง นั้นเป็นศาลาที่มีขนาดใหญ่โตมาก ราวกับเป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้างถึงแปดพันวา จำนวนแปดสาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้ ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิงลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาว และคนเฒ่าคนแก่เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนนเลยทีเดียว โดยมีผู้คนมาทุกเชื้อชาติทุกศาสนา น่าแปลกที่ว่าทุกคนเดินกันไปอย่างเงียบกริบไม่มีใครพูดจากันเลยสักคนเดียว หลวงปู่ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้วเดินรวมอยู่ในหมู่วิญญาณนั้นด้วย แต่ก็ได้แต่มองดูกันไม่อาจพูดทักทายกัน คล้ายต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้ เมื่อถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ ท่านก็เห็นมีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำถือหอกสามง่ามเป็นประกายคล้ายเปลวไฟลุกไหม้ ทหารยามพูดกับหลวงปู่คนิงว่า “ท่านสร้างเวรสร้างกรรมพอแล้วหนอ หลวงพ่อถึงได้มาทางนี้ ว่าแล้วทหารเฝ้าประตูก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงปู่คนิงไว้ จนเกิดควันไหม้ที่จีวร แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บ ทหารยามหลายคนในที่นั้น ต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง ซึ่งท่านเข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอกก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นในหลวงปู่ท่านได้พบครูบาอาจารย์เก่าๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้วถูกควบคุมตัวเพื่อมาชำระโทษ ทุกท่านได้แต่มองหน้ากันทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออกปากเป็นใบ้ โดยยมบาลได้นำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง

เมื่อเหล่าร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดกัน พญายมซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธาน ได้เอื้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดขึ้นเองอย่างรวดเร็วพอถึงรายชื่อของใคร สมุดก็จะหยุดให้พญายมอ่านถึงกรรมของคนๆ นั้นพญายมกล่าวว่า

“มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดทุกคำของมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทรทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ตัวหนังสือจะมาปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษในสมุดของยมโลก” 

เมื่อพญายมเปิดบัญชีดูแล้ว ก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายให้ไปอาบน้ำชำระร่างกายกันที่สระน้ำเพราะทนกลิ่นเหม็นจากตัวของเหล่ามนุษย์ไม่ไหว พอทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็สำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนล้วนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเต็มไปด้วยอุจจาระ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว โดยไม่มีใครรู้ว่าอุจจาระนี้เปรอะเปื้อนได้อย่างไร

สระน้ำที่ท่านเห็นนั้นเป็นสระน้ำที่กว้างใหญ่มาก น้ำก็ใสสะอาดราวกับกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ทุกคนต่างพากันกระโดดลงในสระน้ำ โดยที่หลวงปู่กระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำในสระนั้นก็กลับร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที หลวงปู่ตกใจมาก ได้รับความปวดแสบร้อนอย่างแสนสาหัส ต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไป ความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างวิญญาณคนอื่นๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำ แล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้ขึ้น แดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ ราวกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ตายไปทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสน ส่งเสียงโอดโอยโหยหวนสยดสยองอยู่ในสระน้ำ เป็นภาพที่สยดสยองมาก หลวงปู่รู้ได้ในทันทีว่าที่แท้สระน้ำนี้น่าจะเป็น “ขุมนรกขุมแรก” สำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ซึ่งได้เคยสั่งสมบุญไว้ไม่น้อย ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม

      หลวงปู่ได้กลับเข้าไปในศาลาพันห้อง ด้วยใจคอไม่ดี ซึ่งท่านรู้แน่แก่ใจแล้วว่าที่นี่เป็นด่านเมืองนรก ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อสักครู่นี้ เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้สรรพสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมลงตัวน้อย ก็ไม่เคยทำให้มันตาย เพราะทราบว่าทุกสรรพสัตว์ล้วนมีชีวิตจิตใจ แต่อาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนาเพราะไม่เห็น เมื่อไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นบาป เมื่อไปยืนอยู่หน้ายมบาลแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมต่อหลวงปู่ว่า“ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้าที่มาเมืองนรกนี้ เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูบัญชีแล้วบารมีของหลวงพ่อนั้นยังมากอยู่ ข้ายังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ในขณะนี้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมในโลกมนุษย์ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับพระคุณเจ้า” 

เป็นอันว่าหลวงปู่ท่านยังไม่ถึงกาลแห่งมรณภาพเป็นที่แน่นอน เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ท่านก็เกิดความรู้สึกว่าจะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เสียเลย ก็เป็นการกลับมือเปล่า ควรที่จะเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรเสียหน่อยก็ยังดี เมื่อท่านคิดได้ดังนั้นแล้วก็เดินไป พวกยมบาลทั้งหลายก็เปิดทาง และคอยอำนวยความสะดวกให้ชมเมืองนรกเมื่อท่านเดินไปเห็นห้องๆหนึ่งมีนักโทษชายหญิงสองคนชายหนุ่มและหญิงสาวคู้นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดงๆ ที่ถูกเผาไฟ เสียบทะลุฝ่าเท้าปากอ้ากว้าง มีเหล็กแดงเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายอ้าปากคาบไว้ ด้านบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ คอยทิ่มแทงร่างกาย ใบหน้าหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญคราง บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส และไม่อาจกระดิกตัวได้เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ ตรึงร่างกายไว้ทุกด้าน หลวงปู่ได้สังเกตว่าการลงโทษในเมืองนรกไม่มีการตายซ้ำ คือมีแค่การตายไปแค่ชั่ววูบเดียวแล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานต่อ ร่างกายแหลกสลายด้วยอานุภาพไฟนรก แต่ชั่วพริบตาก็เกิดร่างใหม่ขึ้นทดแทนเพื่อจะได้รับการทรมานต่อซ้ำๆ ซากๆ กันอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ หลวงปู่ได้ถามยมบาลว่า “หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด จึงต้องมารับโทษหนักหนาในเมืองนรกเช่นนี้” โดยที่ยมบาลตอบให้ทราบว่า “หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก ไม่ยอมนับถือศาสนาใดๆ ไม่เชื่อในศีลธรรมคุณงามความดีใดๆ เชื่ออยู่แต่ว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ อยู่เพื่อสืบพันธุ์ร่วมประเวณีและเพื่อนอนเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว เชื่อว่าตายแล้วก็หมดกัน ไม่มีชาติหน้าไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมใดๆ หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ ๔๐ ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนการพิพากษาตัดสินนั้น ต้องถูกจำจองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน” ส่วนฝ่ายชายหนุ่ม เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์เป็นคนเจ้าชู้ นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงเอาแต่พรหมจารีหญิงไปเสพสุข คอยปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรมไม่นับถือศาสนาใดๆ ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วสูญ ไม่มีชาติหน้า ไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ไม่ต้องใช้กรรม และถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงต้องมาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากท่านพญายมบาล” หลวงปู่จึงถามยมบาลว่า “อยากสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษจะได้หรือไม่” ยมบาลจึงตอบว่า “สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว อนุญาตให้ซักถามได้” เมื่อยมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว เครื่องจองจำเหล็กเผาไฟแดงๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทา สั่นเหมือนลูกนกตกน้ำสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพรากทั้งสองต่างพากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่ อย่างสำนึกในพระคุณท่านที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหดนี้ หญิงสาวได้กราบอ้อนวอนหลวงปู่ให้นำพาเธอกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก แต่หลวงปู่ก็ได้แต่บอกว่า เธอนั้นตายไปแล้ว ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ในเรื่องการนำพาให้เธอกลับไปเกิด เพราะเป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล ท่านสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ เมื่อท่านกลับไปเมืองมนุษย์แล้วจะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้ได้เท่านั้น

ต่อมาหลวงปู่ก็ได้กล่าวถามชายหนุ่มบ้างว่า “โยมจะให้อาตมาภาพช่วยอะไรได้บ้าง” ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าของหลวงปู่แล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า “กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว กระผมไม่ขออะไรมากขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจในยามทุกข์” หลวงปู่ท่านก็ได้รับปากที่จะช่วยเหลือแผ่บุญกุศลมาให้ จากกรณีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้จะเห็นได้ว่ามูลเหตุที่ทำให้ตกนรกจริงๆ แล้วก็คือ “มิจฉาทิฐิ” ที่ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเป็นเหตุให้ตกนรก ต้องถูกทรมานจากเหล่ายมบาลก่อน ซึ่งผลกรรมนั้นก็ยังไม่จบลงตรงนั้น เพราะผลกรรมที่หลวงปู่ได้เห็นนี่เป็นเพียงการลงโทษเพื่อรอเวลาการตัดสินโทษจากพญายมอีกที ยังไม่อาจจะประมาณได้ว่ากรรมที่จะต้องไปรับในนรกขุมที่เกี่ยวข้องกับการผิดศีลข้อที่สามนั้นจะต้องไปรับโทษในขุมนรกสำหรับกรรมนี้โดยเฉพาะอีกยาวนานมากเท่าใด