วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒



ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๒

พระราชาทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า "พวกท่านมาแต่ที่ไหน "

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์มาจากสำนักของพระยานาคธตรฐ"

พระราชาตรัสถามว่า "เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมาในที่นี้"

นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า" ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นทูตของพระยานาคธตรฐนั้น พระยานาคธตรฐถามถึงความไม่มีโรคของพระองค์และพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ท่านจะให้สิ่งนั้นแก่พระองค์ ข่าวว่าพระองค์จะประทานนางสมุททชา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ให้เป็นบาทปริจาริกาของพระราชาของพวกข้าพระองค์"

พระราชาครั้นได้สดับดังนั้นจึงตรัสว่า

"พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ใน กาลไหน ๆ เลย พวกเราจะทำวิวาห์อันไม่สมควรนั้น ได้อย่างไรเล่า"

พวกนาคมาณพ ได้ฟังคำดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า "ถ้าความสัมพันธ์กับพระยานาคธตรฐไม่เหมาะสมกับท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงส่งเต่าชื่อว่าจิตตจูฬผู้อุปฐากของตนไปเป็นทูตแก่พระราชาของพวกเราว่า เราจะให้ธิดาของเราชื่อว่า สมุททชา เล่า ครั้นส่งสาสน์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อท่านกระทำการดูหมิ่นพระราชาของพวกเรา พวกเราแลชื่อว่าเป็นนาคมาณพจักรู้กรรมที่ควรกระทำแก่ท่าน "เมื่อจะขู่พระราชาจึงกล่าวว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพหรือแว่นแคว้นเสียเป็นแน่ เพราะเมื่อพวกนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลายเช่นพระองค์จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์เป็นมนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพวกพระยานาคธตรฐผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าววรุณนาคราช เกิดภายใต้แม่น้ำยมุนา"

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสว่า "เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ ก็ท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่กว่านาคทั้งหมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก แต่ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็นกษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ และนางสมุททชาธิดาของเราก็เป็นอภิชาต"

พวกนาคมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ประสงค์จะฆ่าพระองค์ด้วยลมในนาสิกในที่นั้นนั่นเอง แต่ก็คิดว่า เมื่อพวกเราถูกพระราชาส่งไปเพื่อกำหนดวัน การที่เราจะฆ่าพระราชานี้แล้วจากไปนั้นเป็นการไม่สมควรเลย พวกเราจักไปกราบทูลพระราชาเพื่อให้ทรงทราบ ดังนี้แล้ว พวกเขาจึงลุกจากที่นั้นออกจากราชนิเวศน์ดำลงแผ่นดินไปในที่นั้น เมื่อถึงภพนาคแล้วจึงเข้าเฝ้าท้าวธตรฐ เมื่อถูกพระยานาคถามว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านได้ราชธิดาแล้วหรือ "

พวกนาคมานพก็แสดงความโกรธต่อพระเจ้าพาราณสีจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ส่งพวกข้าพระองค์ไปในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเหตุอันไม่สมควรอะไรเลยถ้าพระองค์ปรารถนาจะฆ่า พระองค์จงฆ่าพวกข้าพระองค์เสียในที่นี้แหละ พระราชานั้นด่าบริภาษพระองค์ ยกธิดาของตนขึ้นด้วยความเมาในชาติ ดังนี้แล้วกราบทูลถึงความที่พระเจ้าพาราณสีกล่าว" สร้างความโกรธเคืองให้เกิดขึ้นกับพระยานาคราชอย่างยิ่ง พระยานาคราชนั้นจึงตรัสสั่งให้ประชุมไพร่พลนาคทั้งสิ้น

ลำดับนั้นเมื่อพวกนาคทั้งหมดมาประชุมกันก็ทูลถามพระยานาคราชว่า" พระองค์จะให้พวกข้าพระองค์ทำอย่างไร พระเจ้าข้า"

พระองค์จึงตรัสว่า นาคท่านจงพาบริวารทั้งหมดไปยังกรุงพาราณสี  พวกนาคเหล่านั้นถามว่า "เมื่อพวกข้าพระองค์ไปในที่นั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร พระเจ้าข้า หรือพระองค์จะให้พวกข้าพระองค์จะทำมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นขี้เถ้าโดยการพ่นพิษออกมาทางนาสิก พระเจ้าข้า"

พระยานาคไม่ปรารถนาความพินาศแก่นางสมุททชา เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในราชธิดา จึงตรัสว่าพวกนาคอย่าพึงเบียดเบียนใคร ๆ ลำดับนั้น พวกนาคจึงกล่าวกะพระราชาว่า "ข้าแต่มหาราช ถ้าไม่เบียดเบียนมนุษย์ พวกเราไปในที่นั้นแล้วจะกระทำอะไร "

ลำดับนั้นพระราชาจึงตรัสกะพวกนาคนั้นว่า "นาคทั้งหลายจงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ และบนเสาระเนียด พ่นควันออกมา ส่งเสียงขู่ฟ่อ ฟ่อ แต่จงอย่าแสดงตนแก่คน ๔ ประเภท คือ เด็ก คนแก่ชรา หญิงมีครรภ์ และนางสมุททชา แม้ตัวเราเองก็จะนิรมิตตัวใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองใหญ่ด้วยขนดหาง ยังความกลัวให้เกิดแก่ ชนชาวกาสี"

นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว ก็ พากันเข้าไปยังกรุงพาราณสี แต่มิได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย แผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้าน เรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ พวกสตรีเป็นอันมากได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพาน ห้อยอยู่ ตามที่ต่าง ๆ หายใจฟู่ ๆ ก็พากันร้องคร่ำครวญ ชาวเมืองพาราณสีมีความสะดุ้งกลัว เดือดร้อนก็พากัน ไปประชุมกอดอกร้องทุกข์ว่า" ขอพระองค์ จงพระราชทานพระราชธิดาแก่พระยานาคเถิดพระเจ้าข้า"

แม้นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่เป็นทูตมาในครั้งก่อน คราวนี้ก็มาขดวงล้อมเท้าทั้ง ๔ แห่งที่บรรทมของพระราชา แผ่พังพานใหญ่บนพระเศียรได้แยกเขี้ยวยืนดูอยู่ เหมือนจะฉกกัดศีรษะด้วยปาก

พระเจ้าพาราณสีทรงบรรทมอยู่ ได้สดับเสียงชาวพระนครและมเหสีของพระองค์ร้องคร่ำครวญอยู่ และพระองค์ถูกนาคมาณพทั้ง ๔ คุกคาม ทรงสะดุ้งพระทัยกลัวมรณภัย จึงได้ตรัสขึ้น ๓ ครั้งว่า "เราจะให้พระนางสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่ท้าวธตรฐ"


นาคราชทั้งหมดครั้นได้ฟังพระดำรัสดังนั้นแล้ว ก็ถอยออกไปนอกพระนครยังที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งคาวุต (๔ กิโลเมตร) สร้างนครขึ้นแห่งหนึ่งงดงามเหมือนเทวนคร แล้วจึงส่งบรรณาการไปยังพระราชาว่า ขอพระองค์จงส่งพระธิดามาเถิด

พระราชารับเอาเครื่องบรรณาการที่พวกนาคนำมา แล้วจึงส่งพวกนาคเหล่านั้นกลับไปว่า พวกท่านไปเถิด เราจักส่งธิดาไปในความคุ้มครองของพวกอำมาตย์ของเรา แล้วรับสั่งให้เรียกธิดามาให้ขึ้นสู่ปราสาทชั้นบน ให้เปิดสีหบัญชรแล้วทรงชี้ให้ดูว่า "ดูก่อนแม่ เจ้าจงดูนครอันตบแต่งแล้วนั้น เจ้าจงไปเป็นอัครมเหสีของพระราชานั้นในที่นั้น นครนั้นไม่ไกลแต่ที่นี้ เมื่อเวลาเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายนครนั้นขึ้นมา เจ้าสามารถจะมาในที่นี้ได้ เจ้าพึงมาในที่นี้"

แล้วทรงให้สนานศีรษะ ประดับพระธิดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้นั่งในวอที่ปกปิดแล้วได้ประทานส่งไปในความคุ้มครองของอำมาตย์ของพระองค์

พระยานาคทั้งหลายกระทำการต้อนรับพระธิดาแล้วได้กระทำมหาสักการะ อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปสู่พระนคร ถวายพระธิดานั้นแก่ท้าวเธอ ได้รับพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแล้วกลับมา

พระยานาคราชให้พระธิดาขึ้นสู่ปราสาท ให้นอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ที่ประดับไว้ ในขณะนั้นนั่นเอง พวกนาคมาณพก็แปลงเพศเป็นคนค่อมและคนเตี้ยเป็นต้น แวดล้อมพระธิดาเหมือนพวกบริจาริกาของมนุษย์ พระธิดาพอนอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ ถูกต้องสัมผัสอันเป็นทิพย์เท่านั้นก็ก้าวลงสู่ความหลับ

ท้าวธตรฐพาพระธิดาพร้อมบริษัทนาคหายไปในที่นั้น แล้วไปปรากฏในภพนาค

พระราชธิดาเมื่อทรงตื่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรที่บรรทมอันเป็นทิพย์ที่ตบแต่งไว้ และสถานที่อื่นเช่นปราสาทอันสร้างด้วยทองคำและสร้างด้วยแก้วมณี พระอุทยานและสระโบกขรณี เหมือนเทพนครที่ตบแต่งไว้ จึงตรัสถามหญิงบำเรอเหล่านั้นว่า นครนี้ช่างตบแต่งงามเหลือเกิน ไม่เหมือนนครของเรา นครนี้เป็นของใคร

หญิงบำเรอทูลว่า ข้าแต่พระเทวีนั่นเป็นของพระสวามีของพระนาง พระเจ้าข้า ผู้ที่มีบุญน้อยย่อมไม่ได้สมบัติเห็นปานนี้ ท่านได้สมบัตินี้ เพราะท่านมีบุญมาก

ฝ่ายท้าวธตรฐ รับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศไปในตลอดภพนาคซึ่งมีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ว่า ผู้ใด ๆ แสดงเพศงูแด่พระนางสมุททชา ผู้นั้น ๆ จักต้องราชทัณฑ์ เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าแสดงตนในเพศงูแก่พระนางเลย เพราะความสำคัญว่าเป็นโลกมนุษย์ พระนางจึงชื่นชมยินดีกับท้าวธตรฐนั้น ในที่นั้นนั่นเอง อยู่สังวาสด้วยความรักด้วยอาการอย่างนี้

จบนครกัณฑ์

อุโบสถกัณฑ์

       ครั้นต่อมาพระนางจึงทรงครรภ์ ประสูติพระโอรสพวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า สุทัสสนะ เพราะเห็นแล้วให้เกิดความรัก ในเวลาพระโอรสทรงดำเนินเดินได้ พระนางประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า ทัตตะ ก็พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์   ต่อมาพระนางประสูติโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติตั้งชื่อท่านว่า สุโภคะ และพระนางประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า อริฏฐะ ดังนั้นพระนางแม้ประสูติพระโอรส ๔ พระองค์แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นภพของนาคอยู่ดี

ภายหลังวันหนึ่งพวกนาคหนุ่ม ๆ บอกแก่พระโอรสชื่อว่า อริฏฐะว่า มารดาของพระองค์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนางนาค พระโอรสนามว่า อริฏฐะ คิดว่าเราจะทดสอบพระมารดานั้น ครั้นวันหนึ่งเมื่อเสวยนมจึงนิรมิตสรีระเป็นงู เอาปลายหางเสียดสีหลังเท้าพระมารดา พระนางเห็นร่างงูของพระโอรสนามว่า อริฏฐะ จึงตกพระทัยสะดุ้งกลัวแล้วกรีดร้อง ทิ้งพระโอรสไปที่พื้น นัยน์ตาของพระโอรสนั้นจึงแตกไปเพราะเล็บ โลหิตก็ไหล

พระราชาทรงสดับเสียงของพระนาง จึงตรัสถามว่า "นั่นเสียงกรีดร้องของใคร "เมื่อทรงสดับเรื่องที่พระโอรสนามว่าอริฏฐะกระทำ จึงทรงกริ้วตรัสว่า "พวกท่านจงพาอริฏฐะนั้นไปประหารเสีย"

พระราชธิดาทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้ว จึงตรัสด้วยความสิเนหาในบุตรว่า "พระเจ้าข้า นัยน์ตาบุตรของหม่อมฉันแตกไปแล้วขอพระองค์จงงดโทษให้แก่บุตรของหม่อมฉันเถิด"

พระราชาเมื่อพระนางตรัสอย่างนั้น จึงตรัสว่า เราไม่อาจทำอะไรได้ จึงงดโทษให้

ก็ในวันนั้นพระนางจึงได้ทราบความจริงว่านี้เป็นภพนาค นับแต่นั้นมา พระโอรสนามว่าอริฏฐะ ได้ชื่อว่าอริฏฐะบอด

ฝ่ายพระโอรสทั้ง ๔ องค์เมื่อทรงเติบใหญ่แล้ว พระบิดาจึงได้ทรงประทานรัชสมบัติแห่งละ ๑๐๐ โยชน์ พระราชทานนางนาคกัญญาแห่งละ ๑๖,๐๐๐ นาง พระบิดาทรงเหลือรัชสมบัติเพียง ๑๐๑ โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง ๓ มาเฝ้าพระมารดาบิดาทุก ๆ เดือน ฝ่ายพระโพธิสัตว์มาทุกกึ่งเดือน

ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ผู้เป็นจอมแห่งพญานาคราชทั้งปวงพร้อมด้วยนาคบริวารไปยังดาวดึงสพิภพเพื่อเข้าเฝ้าท้าวสักกะ ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปกับท้าวมหาราชวิรูปักข์ ในครั้งนั้นได้มีการถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่สามารถจะแก้ปัญหานั้นได้ มีแต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์อันประเสริฐเท่านั้นจึงแก้ได้

ลำดับนั้น พระเทวราชาทรงบูชาพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์แล้ว ตรัสว่า พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต เพราะเหตุนั้นจึงได้ตั้งชื่อท่านว่า ภูริทัต ตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเวลาที่ท่านได้ไปเข้าเฝ้าท้าวสักกะได้ทรงเห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ก็ทรงปรารถนาใคร่จะได้ในเทวสมบัติดังกล่าว ทรงคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพเยี่ยงนาคอย่างนี้ซึ่งมีกบเป็นภักษา เรากลับไปสู่ภพนาคแล้วประพฤติศีลอยู่จำอุโบสถ เพื่อจักเป็นอานิสงส์ให้ได้เทวสมบัติตามที่ปรารถนา

คิดดังนี้แล้วจึงกลับมาภพนาค ทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า พระแม่ พ่อ "หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม"

พระมารดาพระบิดาตรัสว่า "ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอกจงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เพราะว่าเมื่อพวกนาคออกไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น" 

พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง

ลำดับนั้น นางนาคผู้เป็นบริวารต่างก็เล่นดนตรีต่าง ๆ แวดล้อมพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์เพื่อกระทำอุโบสถ แล้วไม่ได้บอกแก่มารดาและบิดา เพราะกลัวจะถูกห้ามจึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยังรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแลพวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ ๑๐ นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังที่นั้น บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิมดังนี้

พระโพธิสัตว์ทรงสั่งดังนั้นแล้วก็ไปในที่นั้น วงขนดบนจอมปลวกแล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า "ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด" แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้นนางมาณวิกามาปฏิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอนแล้วกลับมาสู่ภพนาค เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะกาลผ่านไปยาวนาน

จบอุโบสถกัณฑ์ 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น