วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๗

สุโภคกัณฑ์

เมื่อพระมหาสัตว์ถึงนาคพิภพเสียงร่ำไรรำพันก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายพระภูริทัตเหน็ดเหนื่อยเพราะเข้าอยู่ในกระโปรงถึงหนึ่งเดือน จึงเลยนอนเป็นไข้ มีพวกนาคมาเยี่ยมนับไม่ถ้วน พระภูริทัตนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะปราศรัยกับนาคเหล่านั้น กาณาริฏฐะ ซึ่งยังไปเทวโลกครั้นไม่พบพระมหาสัตว์ก็กลับมาก่อน ลำดับนั้น ญาติมิตรของพระมหาสัตว์เห็นว่ากาณาริฏฐะนั่นเป็นผู้ดุร้ายหยาบคายสามารถจะห้ามนาคบริษัทได้ จึงให้กาณาริฏฐะเป็นผู้เฝ้าประตูห้องบรรทมของพระมหาสัตว์

ฝ่ายสุโภคะก็เที่ยวไปทั่วหิมพานต์ จากนั้นจึงตรวจตราต่อไป ตามหามหาสมุทรและแม่น้ำนอกนั้น แล้วตรวจตรามาถึงแม่น้ำยมุนา

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทเห็นอาลัมพายน์เป็นโรคเรื้อนจึงคิดว่า เจ้านี่ทำพระภูริทัตให้ลำบากจึงเกิดเป็นโรคเรื้อน ส่วนเราก็เป็นคนชี้พระภูริทัตผู้มีคุณแก่เรามากให้อาลัมพายน์ด้วยอยากได้แก้ว กรรมชั่วอันนั้นคงจักมาถึงเรา เราจักไปยังแม่น้ำยมุนาตลอดเวลาที่กรรมนั้นจะยังมาไม่ถึง แล้วจักกระทำพิธีลอยบาปที่ท่าปยาคะ เขาจึงไปที่ท่าน้ำปยาคะแล้วกล่าวว่า เราได้ทำกรรมประทุษร้ายมิตรในพระภูริทัต เราจักลอยบาปนั้นไปเสีย ดังนี้แล้วจึงทำพิธีลงน้ำ

ขณะนั้น สุโภคะไปถึงที่นั้น ได้ยินคำของพราหมณ์เนสาทนั้นจึงคิดว่าได้ยินว่าตาคนนี้บาปหนา พี่ชายของเราให้ยศศักดิ์มันมากมายแล้ว กลับไปชี้ให้หมองู เพราะอยากได้แก้ว เราเอาชีวิตมันเสียเถิด ดังนี้แล้วจึงเอาหางพันเท้าพราหมณ์ทั้งสองข้าง ลากให้จมลงในน้ำ พอจวนจะขาดลมหายใจจึงหย่อนให้หน่อยหนึ่ง พอพราหมณ์โผล่หัวขึ้นได้ก็กลับลากให้จมลงไปอีก ทรมานให้ลำบากอย่างนี้อยู่หลายครั้ง พราหมณ์เนสาทโผล่หัวขึ้นได้จึงกล่าวว่า น้ำที่โลกสมมติว่าสามารถลอยบาปได้ มีอยู่ที่ท่าปยาคะ ภูตผีอะไรฉุดเราลงสู่แม่น้ำยมุนาอันลึก

ลำดับนั้น สุโภคะ ได้กล่าวกะพราหมณ์เนสาทนั้นด้วยคาถาว่านาคราชนี้ใดเป็นใหญ่ในโลก เรืองยศ พันกรุงพาราณสีไว้โดยรอบ เราเป็นลูกของนาคราชผู้ประเสริฐนั้น ดูก่อนพราหมณ์ นาคทั้งหลายเรียกเราว่าสุโภคะ

ลำดับนั้น พราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เป็นพี่น้องของพระภูริทัตจักไม่ไว้ชีวิตเรา อย่ากระนั้นเลย เราจะยกยอเกียรติคุณของนาคนี้ทั้งมารดาและบิดาของเขา ให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิตเราไว้ ดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า ถ้าท่านเป็นโอรสของนาคราชผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระราชาของชนชาวกาสี พระชนกของท่านเป็นใหญ่คนโตผู้หนึ่ง และพระชนนีของท่านก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมู่มนุษย์ ผู้มีอานุภาพมากเช่นท่าน ย่อมไม่สมควรจะฉุดแม้คนที่เป็นเพียงทาสของพราหมณ์ให้จมน้ำเลย

ลำดับนั้น สุโภคะ จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า เจ้าพราหมณ์ชั่วร้ายเจ้าสำคัญว่า จะหลอกให้เราปล่อยหรือ เราไม่ไว้ชีวิตเจ้า เมื่อจะประกาศกรรมที่พราหมณ์นั้นกระทำจึงกล่าวว่า เจ้าแอบต้นไม้ยิงเนื้อซึ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำ เนื้อถูกยิงแล้วรู้สึกได้ด้วยกำลังลูกศร จึงวิ่งหนีไปไกล เจ้าไปพบมันล้มอยู่ในป่าใหญ่ จึงแล่เนื้อหามมาถึงต้นไทรในเวลาเย็น อันกึกก้องไปด้วยเสียงร้องของนกดุเหว่าและนกสาลิกามีใบเหลือง เกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทรมีฝูงนกดุเหว่าร้องอยู่ระงม น่ารื่นรมย์ใจ ภูมิภาคเขียวไปด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ พี่ชายของเราเป็นผู้รุ่งเรืองไปด้วยฤทธิ์และยศ มีอานุภาพมาก อันนางนาคกัญญาทั้งหลายแวดล้อม ปรากฏแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทรนั้น ท่านพาเจ้าไปเลี้ยงดู บำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง เป็นคนประทุษร้ายต่อท่านผู้ไม่ประทุษร้ายเวรนั้นมาถึงเจ้าในที่นี้แล้ว เจ้าจงเหยียดคอออกเร็ว ๆ เถิด เราจักไม่ไว้ชีวิตเจ้า เราระลึกถึงเวรที่เจ้าทำต่อพี่ชายเรา จึงจักตัดศีรษะเจ้าเสีย

ลำดับนั้นพราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เห็นจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ แต่ถึงกระนั้นเราก็ควรจะพยายามกล่าวอะไร ๆ เพื่อให้พ้นให้จงได้ จึงกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ทรงเวท ๑ ผู้ประกอบในการขอ ๑ ผู้บูชาไฟ ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นพราหมณ์ที่ใคร ๆไม่ควรจะฆ่า เพราะผู้ใดฆ่าพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมเกิดในนรก

สุโภคะ ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เกิดความลังเลใจ จึงคิดว่า เราจะพาพราหมณ์นี้ไปยังนาคพิภพ สอบถามพี่น้องดูก็จักรู้ได้ ดังนี้จึงได้กล่าวว่า

เมืองของท้าวธตรฐ อยู่ภายใต้แม่น้ำยมุนา จดหิมวันตบรรพตซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลแม่น้ำยมุนา ล้วนแล้วไปด้วยทองคำงามรุ่งเรือง พี่น้องร่วมท้องของเรา ล้วนเป็นคนมีชื่อลือชาอยู่ในเมืองนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อเจ้าถูกนำไปในที่นั้น พี่ชายเหล่านั้นว่าอย่างใด เจ้าจักเป็นอย่างนั้น ก็ถ้าเจ้ากล่าวคำจริง ชีวิตของเจ้าก็จะมีอยู่ ถ้ากล่าวคำไม่จริง เราจะตัดศีรษะของเจ้าในที่นั้นทีเดียว

สุโภคะครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว จึงจับคอพราหมณ์เสือกไสไปพลางบริภาษไปพลาง จนถึงประตูปราสาทของพระโพธิสัตว์

จบสุโภคกัณฑ์

ยัญญเภทกัณฑ์

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะนั่งเฝ้าประตูอยู่ เห็นสุโภคะพาพราหมณ์เนสาททรมานมาดังนั้น จึงเดินสวนทางไปบอกว่า แน่ะ พี่สุโภคะ พี่อย่าเบียดเบียนพราหมณ์นั้น เพราะพวกที่ชื่อว่าพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นบุตรท้าวมหาพรหม ถ้าท้าวมหาพรหมรู้เข้าก็จักโกรธว่า นาคเหล่านี้ เบียดเบียนแม้ลูกทั้งหลายของเราแล้ว จักทำนาคพิภพทั้งสิ้นให้พินาศ เพราะพวกที่ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ประเสริฐและมีอานุภาพมากในโลก พี่ไม่รู้จักอานุภาพของพวกพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนข้าพเจ้าเองรู้

เล่ากันมาว่า กาณาริฏฐะในชาติที่ผ่านมาได้เกิดเป็นพราหมณ์บูชายัญ เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ ครั้นกล่าวแล้วด้วยความที่ตนเคยกระทำมาในกาลก่อน จึงฝังใจอยู่ในการบูชายัญ จึงเรียกสุโภคะและนาคบริษัทมาบอกว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เราจักพรรณนาคุณของพราหมณ์ผู้ทำการบูชายัญ ดังนี้แล้วเมื่อเริ่มกล่าวพรรณนายัญจึงกล่าวว่า

ข้าแต่พี่สุโภคะ ยัญและเวททั้งหลายในโลกที่พวกพราหมณ์นี้ประกอบขึ้น ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อยเพราะฉะนั้น ผู้ติเตียนพราหมณ์ซึ่งใคร ๆ ไม่ควรติเตียน ชื่อว่าย่อมละทิ้งทรัพย์เครื่องปลื้มใจและธรรมของสัตบุรุษเสีย

เล่ากันมาว่า เขาได้กล่าวว่า นาคบริษัททั้งหลายอย่าได้กล่าวว่าพราหมณ์นี้ ได้ทำกรรมประทุษร้ายต่อมิตรในพระภูริทัตนี้

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ ได้กล่าวกะสุโภคะนั้นว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ พี่สุโภคะรู้หรือไม่ว่าโลกนี้ใครสร้าง

สุโภคะตอบว่า ไม่รู้

กาณาริฏฐะนั้นเพื่อจะแสดงว่าโลกนี้ท้าวมหาพรหม ปู่ของพวกพราหมณ์สร้าง จึงกล่าวอีกว่า พวกพราหมณ์ ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง ๔ นี้ เข้าถึงการงานตามที่อ้างมาเฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจเป็นผู้กำหนดไว้

เล่ากันมาว่า พรหมนิรมิตวรรณะ ๔ มี พราหมณ์เป็นต้นแล้ว กล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายผู้ประเสริฐ เป็นอันดับแรกว่า พวกท่านจงยึดการศึกษาไตรเพทเท่านั้นอย่างกระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวกะพระราชาว่า พวกท่านจงปกครองแผ่นดินอย่างเดียว อย่ากระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวพวกแพศย์ว่า พวกท่านจง ยึดการไถนาอย่างเดียว กล่าวกะพวกศูทรว่า พวกท่านจงยึดการบำเรอวรรณะ ๓ อย่างเดียว

ตั้งแต่นั้นมา ท่านกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ประเสริฐยึดการศึกษาไตรเพท พระราชายึดการปกครอง แพศย์ยึดการไถนา ศูทรยึดการบำเรอ

กาณาริฎฐะกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า มหาพรหมผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ก็ผู้ใดทำจิตให้เลื่อมใสในมหาพรหมเหล่านั้น ย่อมให้ทาน ผู้นั้นไม่มีการถือปฏิสนธิในที่อื่น ย่อมไปสู่เทวโลกอย่างเดียว จึงกล่าวว่าพระพรหมผู้สร้างโลก ท้าววรุณ ท้าวกุเวร ท้าวโสมะ พระยายม พระจันทร์ พระวายุ พระอาทิตย์แม้ท่านเหล่านี้ ก็ล้วนบูชายัญมามากแล้ว และบูชาสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง แก่พราหมณ์ผู้ทรงเวท ท้าวอรชุนและท้าวภีมเสน มีกำลังมาก มีแขนนับพัน ไม่มีใครเสมอในแผ่นดิน ยกธนูได้ ๕๐๐ คัน ก็ได้บูชาไฟมาแต่ก่อน

กาณาริฏฐะนั้นเมื่อจะสรรเสริญเฉพาะพวกพราหมณ์ แม้ให้ยิ่งขึ้นไปจึงกล่าวว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ ผู้ใดเลี้ยงพราหมณ์ มานานด้วยข้าวและน้ำตามกำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่ ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศอย่างนี้

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ เมื่อจะนำเหตุแม้อื่นอีกมาแสดง จึงกล่าวว่าพราหมณ์ผู้ใด สามารถบูชาเทวดา คือไฟ ผู้กินมาก มีสีไม่ทราม ไม่อิ่มหนำด้วยเนยใส พราหมณ์ผู้นั้น บูชายัญวิธี แก่เทวดา คือ ไฟผู้ประเสริฐแล้วได้ไปบังเกิดในทิพยคติและได้เข้าเฝ้าพระเจ้ายุตินทะ (พระเจ้ามุจลินท์)

เล่ากันมาว่า พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มุชตินทะ ในกรุงพาราณสี ในกาลก่อน ตรัสสั่งให้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายมาแล้ว ถามถึงทางไปสวรรค์

ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ทูลพระราชานั้นว่า ขอพระองค์จงทรงกระทำสักการะ แก่พวกพราหมณ์ และแก่เทวดาผู้เป็นพราหมณ์ เมื่อพระราชาตรัสถามว่า เทวดาผู้เป็นพราหมณ์เหล่าไหน จึงทูลว่า เทวดาคือไฟ ดังนี้แล้วจึงทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงให้ไฟนั้นอิ่มหนำด้วยเนยใสและเนยข้นพระราชานั้นได้ทรงกระทำอย่างนั้น

กาณาริฏฐะนั้น เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวว่า พระเจ้าทุทีปะ มีอานุภาพมาก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มีพระรูปงามน่าดูยิ่งนัก ทรงละแว่นแคว้นอันไม่มีที่สุดพร้อมทั้งเสนา เสด็จออกผนวชแล้ว ได้เสด็จสู่สวรรค์

กาณาริฏฐะ เมื่อจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีกแก่สุโภคะนั้น จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราชทรงปราบแผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสาผูกสัตว์บูชายัญอันงามยิ่งนัก ล้วนแล้วด้วยทองคำ ทรงบูชาไฟแล้วได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคาและสมุทร เป็นที่สั่งสมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพของผู้ใด ผู้นั้นคือ พระเจ้าอังคโลมบาท ทรงบำเรอไฟ แล้วเสด็จไปเกิดในพระนครของท้าวสหัสสนัยน์

ดูก่อนพี่สุโภคะ แม่น้ำคงคาและมหาสมุทรใครสร้างพี่รู้ไหม

สุโภคะกล่าวว่า เราไม่รู้

กาณาริฏฐะกล่าวว่า พี่ไม่รู้อะไร พี่รู้แต่จะโบยตีพราหมณ์เท่านั้น ก็ในอดีตกาลพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงพระนามว่า อังคโลมบาท ตรัสถามทางสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า พระองค์จงเสด็จเข้าไปหิมวันต์กระทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้วบำเรอไฟ พระองค์จึงพาแม่โคนมและพระมเหสีหาประมาณมิได้เข้าไปยังหิมวันต์ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อพระราชาตรัสถามว่า นมสดและนมส้มที่เหลือจากพวกพราหมณ์บริโภคแล้วจะพึงทำอย่างไร จึงกล่าวว่าจงทิ้งเสีย ในที่ ๆ น้ำนมแต่ละน้อยถูกทิ้งลงไปนั้น ๆ ได้กลายเป็นแม่น้ำน้อย ส่วนน้ำนมนั้นกลายเป็นนมส้มไหลไปขังอยู่ในที่ใด ที่นั้นได้กลายเป็นสมุทรไป พระเจ้าพาราณสีทรงกระทำสักการะเห็นปานนี้ เสด็จไปสู่บุรีของท้าวสหัสสนัยน์ ผู้บำเรอไฟตามวิธีที่พราหมณ์กล่าว ด้วยประการฉะนี้

กาณาริฏฐะ ครั้นนำอดีตนิทานนี้มาชี้แจงแก่สุโภคะดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มียศ เป็นเสนาบดีของท้าววาสวะในไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วยโสมยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง

ดูก่อนพี่สุโภคะผู้เจริญ บัดนี้ ผู้ที่เป็นเสนาบดีของท้าวสักกเทวราชมียศมาก เป็นเทพบุตร แม้ผู้นั้นเมื่อก่อนเป็นพระเจ้าพาราณสี ถามถึงทางเป็นที่ไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวว่า ขอพระองค์จงลอยมลทินของตน ด้วยโสมยาควิธีแล้วจะไปสู่เทวโลก จึงทรงกระทำสักการะใหญ่แก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว กระทำการบูชาโสมยาคะ ตามวิธีที่พวกพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวแล้ว จึงทรงกำจัดมลทินด้วยวิธีนั้นแล้ว เกิดเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง

เมื่อกาณาริฏฐะจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีกแก่สุโภคะ จึงกล่าวว่าเทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์เรืองยศสร้างโลกนี้โลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี ขุนเขาหิมวันต์และเขาวิชฌะ ได้บูชาไฟมาก่อน ภูเขามาลาคิริ ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้ และภูเขาใหญ่อื่น ๆ กล่าวกันว่าพวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้ก่อสร้างไว้

ดูก่อนพี่สุโภคะ มหาพรหมใด ได้สร้างโลกนี้และโลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี แม่น้ำคงคา ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะและเขากากเวรุ ในกาลใดมหาพรหมนั้นได้เป็นมาณพก่อนกว่าพรหมอุบัติ ในกาลนั้นเขาเริ่มต้นบูชาไฟเป็นมหาพรหมได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น

เล่ากันมาว่า เมื่อก่อน พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง ตรัสถามถึงทางไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า ขอพระองค์จงทำสักการะแก่พวกพราหมณ์ พระองค์ก็ได้ถวายมหาทานแก่พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ในการให้ทานของข้าพเจ้านี้ ไม่มีผลหรือ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า มีทั้งหมดพระเจ้าข้า แต่อาสนะไม่เพียงพอแก่พวกพราหมณ์ จึงรับสั่งให้ก่ออิฐสร้างอาสนะทั้งหลาย ที่นอนและตั่งที่พระองค์ให้ก่อสร้างขึ้นนั้น เจริญด้วยอานุภาพของพวกพราหมณ์ กลายเป็นภูเขามาลาคิริเป็นต้น ภูเขาเหล่านั้นกล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้สร้างไว้ด้วยประการฉะนี้แล

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นอีกว่า พี่สุโภคะ ก็พี่รู้หรือไม่ว่า เพราะเหตุไร สมุทรนี้จึงเกิดเป็นน้ำเค็ม ดื่มไม่ได้

สุโภคะกล่าวว่า ดูก่อนอริฏฐะ พี่ไม่รู้

กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นว่า พี่ก็รู้แต่จะเบียดเบียนพวกพราหมณ์เท่านั้นไม่รู้อะไรอื่นเลย คอยฟังเถิด จึงกล่าวว่า

ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์ผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้

เล่ากันว่า วันหนึ่งพราหมณ์นั้น กระทำกรรมคือการลอยบาป ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง ตักน้ำจากสมุทร กระทำการดำเกล้าสระหัวของตน ขณะนั้นสาครกำเริบท่วมทับพราหมณ์นั้น ผู้กระทำอย่างนั้น มหาพรหมได้ทรงสดับเหตุนั้นจึงโกรธว่า ได้ทราบว่า สาครนี้ฆ่าบุตรเรา จึงสาปว่าสมุทรจงดื่มไม่ได้ จงเป็นน้ำเค็ม ด้วยเหตุนั้นนั่นเองสมุทรจึงดื่มไม่ได้ กลายเป็นน้ำเค็ม ชื่อว่าพราหมณ์เหล่านี้ มีคุณมากถึงปานนี้แล

กาณาริฏฐะกล่าวต่อไปว่า วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็นอันมากมีอยู่บนแผ่นดิน ของท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้งหลายมีอยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศทักษิณและทิศอุดรย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด

อริฏฐะ พรรณนาถึงพราหมณ์ ยัญ และ เวทด้วยประการฉะนี้

จบการพรรณนายัญญวา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น