วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูริทัตชาดก ตอนที่ ๓

ตอนที่. ๓

เนสาทกัณฑ์

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้ประตูกรุงพาราณสี พร้อมกับโสมทัตลูกชาย ไปสู่ป่าเที่ยวดักสัตว์ด้วยหลาวยนต์และบ่วงแร้ว ฆ่ามฤคได้แล้วหาบเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ

วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นไม่ได้อะไร โดยที่สุดแม้เพียงเหี้ยสักตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ถ้าเราไปมือเปล่า ๆ มารดาของเจ้าก็จะโกรธเอา เราจักพาสัตว์สักตัวหนึ่งไปให้ได้ ดังนี้แล้วจึงบ่ายหน้าตรงไปทางจอมปลวกที่พระโพธิสัตว์นอนอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อทั้งหลาย ซึ่งลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา จึงกล่าวว่า ลูกพ่อ ทางเนื้อปรากฏอยู่ เจ้าจงถอยออกไปเราจะยิงเนื้อซึ่งมาดื่มน้ำ ดังนี้แล้วจึงหยิบเอาธนูยืนแอบโคนต้นไม้ต้นหนึ่งคอยดูเนื้ออยู่

ครั้นเวลาเย็นเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์นั้นยิงเนื้อนั้น.เนื้อนั้นหาได้ล้มลงในที่นั้นไม่ ตกใจด้วยกำลังศรมีเลือดไหลวิ่งหนีไป ส่วนบิดาและบุตรพากันติดตามเนื้อนั้นไป จับเอาเนื้อนั้นในที่ ๆ มันล้มลงแล้ว ออกจากป่าถึงต้นไทรนั้น ในเวลาพระอาทิตย์ตก จึงปรึกษากันว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่สามารถจะไปได้ เราจะพักอยู่ในที่นี้แล ดังนี้แล้วจึงเอาเนื้อวางไว้ในที่สมควรข้างหนึ่ง ก็พากันขึ้นต้นไม้นอนอยู่ที่ระหว่างค่าคบไม้ ครั้นเวลาใกล้รุ่งพราหมณ์ตื่นขึ้น เอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อร้อง

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย พากันมาตกแต่งอาสนะดอกไม้เพื่อพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กลายร่างกายจากงู นิรมิตเป็นร่างทิพย์ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ด้วยลีลาดุจท้าวสักกเทวราช ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วบรรเลงทิพย์ดนตรีจับฟ้อนรำขับร้อง

พราหมณ์ ได้ฟังเสียงนั้นแล้วคิดว่า นั่นเป็นใครหนอ แล้ว จึงกล่าวว่า ลูกพ่อผู้เจริญ เมื่อไม่อาจปลุกบุตรให้ตื่นขึ้นได้ จึงคิดว่า ลูกนี้เห็นจะเหนื่อย จงนอนไปเถิด เราจักไปคนเดียว คิดแล้วก็ลงจากต้นไม้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์.เหล่านางนาคมาณวิกา เห็นพราหมณ์นั้นจึงดำลงในแผ่นดินพร้อมด้วยเครื่องดนตรีกลับไปยังนาคพิภพตามเดิม ส่วนพระโพธิสัตว์ได้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น.พราหมณ์จึงได้ถามว่า

ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผายนั่งอยู่ท่ามกลางป่า อันเต็มไปด้วยดอกไม้ สตรี ๑๐ คนเป็นใคร ทรงเครื่องประดับล้วนแล้วแต่ทองคำ นุ่งผ้างาม ยืนเคารพอยู่ ท่านเป็นใครมีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางป่าเหมือนไฟอันลุกโชนด้วยเปรียง ท่านคงเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มีอานุภาพมาก

พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้วดำริว่า ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น พราหมณ์คนนี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว จึงกล่าวว่า

เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใคร ๆ จะล่วงได้ ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลก ได้ด้วยเดช มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดาของเราชื่อ ธตรฐ เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกเราว่า ภูริทัต

ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า พราหมณ์นี้เป็นผู้ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรมของเรา ไฉนหนอเราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสียให้ใหญ่โตแล้ว จะพึงทำอุโบสถกรรมของเราให้ยืนยาวนานไปได้

ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปในนาคพิภพนั้นด้วยกัน

พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา พระมหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแล้วกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย ท่านจักอยู่เป็นสุขในนาคพิภพนั้น

พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสองไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน เมื่อบิดาและบุตรทั้งสองไปถึงนาคพิภพ พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ ๔๐๐ ทั้งสองคนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่อยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนีทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้น ก็ไปยังสำนักของพราหมณ์ถามถึงความไม่มีโรคแล้วกล่าวว่า ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกมาเถิด อย่าเบื่อหน่าย จงรื่นเริง ดังนี้แล้ว ได้กระทำปฏิสันถารกับท่านโสมทัตแล้วไปยังนิเวศน์ของพระองค์

พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อยก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่งสวย ก็ปรากฏเหมือนนางยักษิณี

พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก เราจักรู้ว่าโสมทัตนั้นเห็นอย่างไรบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังที่อยู่ของโสมทัตแล้วถามว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่

โสมทัตย้อนถามว่า ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ

พราหมณ์ตอบว่า เออ เราเบื่อหน่ายอยู่

โสมทัตถามว่า เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร

พราหมณ์ตอบว่า ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดาและพี่น้องของเจ้า พ่อโสมทัตจงไปด้วยกันเถิด

โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำ พราหมณ์คิดว่า เราได้ความตกลงใจของบุตรเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่าเราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จักให้ยศแก่เรายิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนายกย่องสมบัติของภูริทัตด้วยอุบายอย่างหนึ่ง เราจักถามว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึงเพียงนี้แล้วไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษย์โลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าพระภูริทัตตอบว่าต้องการจะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้วท่านยังละไปทำอุโบสถกรรมเพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุไรเล่า คนอย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษย์โลกเยี่ยมญาติแล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไป

ครั้นพราหมณ์คิดดังนี้ ครั้นต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่ ก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้แต่สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง ในระยะนี้ พราหมณ์มิได้แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวแก่การจะไป แต่ก็กล่าวพรรณนาถึงสมบัติของพระโพธิสัตว์ว่า

แผ่นดินมีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้น กฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง มีหญ้าเขียวชะอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระ โบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มี ดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท ๘ มุม มีเสา ๑,๐๐๐ เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดในวิมานทิพย์อันกว้างใหญ่ เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์ มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของพระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระอินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้ เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น

พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเราก็มีค่าไม่ถึงแม้ด้วยคนบำเรอของท่าน

ก็แลครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ยินท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตรตั้ง ๑,๐๐๐ เราก็ระลึกได้เพราะว่า เราปรารถนาเวชยันตปราสาท จึงกระทำอุโบสถกรรม

พราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วก็คิดว่าเราได้โอกาสจะลาไปแล้วจึงกล่าวว่า

ข้าพระองค์กับทั้งบุตรเข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤคมานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าข้าพระองค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลาพระภูริทัตผู้ทรงยศ เป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยังมนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความพอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้เป็นของไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะบูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไปเยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวแล้ว จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุขคงจะไม่บอกแก่ใคร ๆ เราจักให้แก้วมณีอันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้ ลำดับนั้นจึงกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อ ท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี ก็จะได้สมประสงค์ทุกประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด

ลำดับนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็นกุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย แก้วมณีจะมีประโยชน์อะไรแก่ข้าพระองค์

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหมจรรย์มีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลยควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ

พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก ถ้าจักมีความต้องการ

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รู้ว่าพราหมณ์นั้นไม่ปรารถนาจะอยู่ในที่นั้น จึงให้เรียกนาคมาณพ ๔ ตนมา แล้วสั่งไปว่า พวกท่านจงนำพราหมณ์ไปให้ถึงมนุษย์โลกโดยเร็ว นาคมาณพทั้ง ๔ ตนที่ภูริทัตตรัสใช้ให้ไปส่ง ฟังรับสั่งของภูริทัต เตรียมตัวแล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว

นาคมาณพทั้ง ๔ ขึ้นจากแม่น้ำยมุนา ส่งให้ถึงทางไปกรุงพาราณสี ก็แลครั้นส่งให้ถึงแล้วจึงกล่าวว่าไปเถิดท่าน ดังนี้แล้วก็กลับมายังนาคพิภพตามเดิม

ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อบอกแก่บุตรว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤคในที่นี้ สุกรในที่นี้ ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางแล้วกล่าวว่า พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด เมื่อโสมทัตกล่าวว่า ดีละพ่อ ทั้งสองคนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระโบกขรณีแล้วลงไปอาบน้ำ ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้นได้หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่ากลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสองนั้น แม้ธนูศรและหอกก็ได้มาปรากฏตามเดิม ฝ่ายโสมทัตเห็นดังนั้นก็ร้องว่า ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้ว พ่อ ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบ โสมทัตว่า อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่ เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต

มารดาโสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป ฝ่ายนางจึงถามบุตรว่า พ่อโสมทัต ทั้ง ๒ คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้

โสมทัตตอบว่า ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้นเราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้

มารดาถามว่า ได้แก้วแหวนอะไร ๆ มาบ้างเล่า

โสมทัตตอบว่า ไม่ได้มาเลยแม่

มารดาถามว่า ทำไมพระภูริทัตไม่ให้อะไรบ้างหรือ

โสมทัตตอบว่า พระภูริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ ๆ ไม่รับเอามา

มารดาถามว่า เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ

โสมทัตตอบว่า ข้าแต่แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช

นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระแก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวชดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า อ้ายพราหมณ์ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู

ลำดับนั้น พราหมณ์จึงปลอบนางพราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองที่ทำมาแต่เดิมแล

จบเนสาทกัณฑ์
from : Facebook

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น