ขณะนั้นอาลัมพายน์ อาบน้ำสระศีรษะ ลูบไล้ของหอมนุ่งห่มผ้าเนื้อเกลี้ยงแล้ว ให้คนยกกระโปรงแก้วไปยังประตูพระราชฐาน มหาชนประชุมกันแล้ว พระราชอาสน์ก็จัดไว้พร้อมเสร็จ พระราชานั้นเสด็จอยู่ข้างในนิเวศน์ทรงส่งสาสน์ไปว่า เราจะไปดู ขออาลัมพายน์จงให้นาคราชเล่นไปเถิด
อาลัมพายน์จึงวางกระโปรงแก้วลงบนเครื่องลาดอันวิจิตร เปิดกระโปรงออกแล้วให้สัญญาว่า ขอมหานาคออกมาเถิด
สมัยนั้น สุทัสสนะก็ไปยืนอยู่ท้ายบริษัททั้งปวง
พระมหาสัตว์โผล่ศีรษะแลดูบริษัททั่วไป นาคทั้งหลายแลดูบริษัทด้วยอาการ ๒ อย่างคือ เพื่อจะดูอันตรายจากสุบรรณอย่าง ๑ เพื่อจะดูพวกญาติอย่างหนึ่ง นาคเหล่านั้นครั้นเห็นสุบรรณก็กลัวไม่ฟ้อนรำ ครั้นเห็นพวกญาติก็ละอายไม่ฟ้อนรำ ส่วนพระมหาสัตว์เมื่อแลไปเห็นพี่ชายในระหว่างบริษัทท่านก็เลื้อยออกจากกระโปรงตรงไปหาพี่ชายทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้า
มหาชนเห็นพระภูริทัตเลื้อย ก็พากันตกใจหลีกออกไป ยังยืนอยู่แต่สุทัสสนะผู้เดียว พระภูริทัตไปซบศีรษะร้องไห้อยู่ที่หลังเท้าของสุทัสสนะก็ร้องไห้.ฝ่ายสุทัสสนะก็ร้องไห้ พระมหาสัตว์ร้องไห้แล้วก็กลับมาเข้ากระโปรง อาลัมพายน์เข้าใจว่า ดาบสถูกนาคนี้กัดเอา คิดจะปลอบโยนท่าน จึงเข้าไปหาสุทัสสนะแล้วกล่าวว่า
นาคหลุดพ้นจากมือ ไปฟุบลงที่เท้าของท่าน คุณพ่อ มันกัดเอากระมังหนอ คุณพ่ออย่ากลัวเลย จงถึงความสุขเถิด
สุทัสสนะ เพราะมีความประสงค์จะกล่าวกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า นาคตัวนี้ ไม่สามารถจะทำอันตรายอะไร ๆให้เกิดแก่เราได้หรอก หมองูมีอยู่เท่าใด ก็ไม่ดียิ่งกว่าเรา
อาลัมพายน์เมื่อไม่รู้จักว่าผู้นี้คือใครก็โกรธกล่าวว่า คนเซอะอะไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาท้าเราในที่ประชุมชน ขอบริษัทจงฟังเรา
ลำดับนั้น สุทัสสนะ ได้กล่าวกะหมองูว่า ดูก่อนหมองู ท่านจงต่อสู้กับเราด้วยนาค เราจะต่อสู้กับท่านด้วยเขียด ในการรบของเรานั้น เราทั้งสองจงมาพนันกันด้วยเดิมพัน ๕,๐๐๐ กหาปณะ
อาลัมพายน์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เราเท่านั้นเป็นคนมั่งคั่งด้วยทรัพย์ ท่านเป็นคนจน ใครจะเป็นคนรับประกันท่าน และอะไรเป็นเดิมพันของท่าน ท่านจงแสดงแก่เรา เดิมพันของเรามี และคนรับประกันเช่นนั้นก็มี เพราะในการรบของเราทั้งสองนี้ เดิมพันสูงถึง ๕,๐๐๐ กหาปณะ
สุทัสสนะ ครั้นได้ฟังคำของอาลัมพายน์นั้นแล้วก็ไม่กล้ายืนยันว่า เอาเถอะพนันกันด้วยทรัพย์ ๕,๐๐๐ กหาปณะดังนี้ก็ขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นลุง แล้วกล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตรผู้ทรงเกียรติ เชิญสดับคำของอาตมภาพ ขอความเจริญจงมีแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรทรงรับประกันทรัพย์ ๕,๐๐๐ กหาปณะ ของอาตมภาพเถิด
พระราชาทรงพระดำริว่า ดาบสนี้ขอทรัพย์เรามากเหลือเกิน จึงตรัสว่า ข้าแต่ดาบส หนี้เป็นหนี้ของบิดา หรือว่าเป็นหนี้ที่ท่านทำเอง เพราะเหตุไร ท่านจึงขอทรัพย์มากมายอย่างนี้ ต่อข้าพเจ้า
เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้ สุทัสสนะจึงได้กล่าวว่า เพราะอาลัมพายน์ปรารถนาจะต่อสู้กับอาตมภาพด้วยนาค อาตมภาพจักให้ลูกเขียดกัดพราหมณ์อาลัมพายน์ ดูก่อนมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ขอเชิญพระองค์ผู้มีหมู่ทหารดาบเป็นกองทัพ เสด็จทอดพระเนตรนาคนั้นในวันนี้
พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเราจักไป จึงเสด็จไปพร้อมกับดาบสนั้นแล อาลัมพายน์เห็นพระราชาเสด็จมากับดาบส ก็ตกใจกลัวว่า ดาบสนี้ไปเชิญพระราชาออกมา ชะรอยว่าจักเป็นบรรพชิตในพระราชาสำนัก เมื่อจะคล้อยตามจึงกล่าวว่า
ข้าแต่ดาบส เราไม่ได้ดูหมิ่นท่าน โดยทางศิลปศาสตร์เลย ท่านมัวเมาด้วยศิลปศาสตร์มากเกินไปไม่ ยำเกรงนาค
ลำดับนั้น สุทัสสนะได้กล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ แม้อาตมาก็ไม่ดูหมิ่นท่านในทางศิลปศาสตร์ แต่ว่าท่านล่อลวงประชาชนนักด้วยนาคอันไม่มีพิษ ถ้าชนพึงรู้ว่านาคของท่านไม่มีพิษเหมือนอย่างอาตมารู้แล้ว ท่านก็จะไม่ได้แกลบสักกำมือหนึ่งเลย จักได้ทรัพย์แต่ที่ไหนเล่าหมองู
ลำดับนั้น อาลัมพายน์โกรธต่อสุทัสสนะ จึงกล่าวว่าท่านผู้นุ่งหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เกล้าชฎารุ่มร่ามเหมือนคนเซอะ เข้ามาในประชุมชน ดูหมิ่นนาคเช่นนี้ว่าไม่มีพิษ ท่านเข้ามาใกล้แล้ว ก็จะพึงรู้ว่านาคนั้นเต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุด ข้าพเจ้าเข้าใจว่านาคตัวนี้จักทำท่านให้แหลกเป็นเหมือนเถ้าไปโดยฉับพลัน
ลำดับนั้น สุทัสสนะเมื่อกระทำการเย้ยหยันจึงกล่าวว่า พิษของงูเรือน งูปลา งูเขียว นั้นมี แต่พิษของ นาคมีศีรษะแดง ไม่มีเลยทีเดียว
ลำดับนั้น อาลัมพายน์ได้กล่าวกะสุทัสสนะด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวม ผู้มีตบะ มาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสียเถิด ถ้าท่านมีสิ่งของที่จะควรให้ นาคนี้มีฤทธิ์มาก มีเดชยากที่ใคร ๆ จะก้าวล่วงได้ เราจะให้นาคนั้นกัดท่าน มันก็จักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป
ลำดับนั้นสุทัสสนะกล่าวว่าดูก่อนสหาย เราก็ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวมมีตบะมาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้แล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านนั่นแหละเมื่อมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสีย ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้จงให้
ลูกเขียดชื่อว่า อัจจิมุขีนี้ เต็มด้วยเดชเหมือนของนาคอันสูงสุด เราจักให้ลูกเขียดนั้นกัดท่าน ลูกเขียดนั้นจักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป นางเป็นธิดาของท้าวธตรฐเป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา นางอัจจิมุขีผู้เต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุดนั้นจงกัดท่าน
ก็แล สุทัสสนะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเหยียดมือร้องเรียกน้องหญิงในท่ามกลางมหาชนนั่นแล ด้วยคำว่า น้องหญิงอัจจิมุขี เจ้าจงออกจากภายในชฎาของพี่มายืนอยู่ในฝ่ามือของพี่
นางอัจจิมุขีผู้นั่งอยู่ภายในชฎานั่นแล ได้ยินเสียงเรียกของสุทัสสนะพี่ชายแล้ว จึงออกจากภายในชฎา นั่งอยู่ที่จะงอยบ่ากระโดดจากที่นั้นมายืนอยู่บนฝ่ามือของสุทัสสนะพี่ชาย แล้วทำหยาดพิษ ๓ หยาดให้ตกแล้วเข้าไปภายในชฎาของสุทัสสนะอีกตามเดิม
สุทัสสนะยืนถือพิษอยู่แล้วประกาศเสียงดังขึ้นว่า ชาวชนบทจักพินาศหนอ เสียงของสุทัสสนะได้ดังกลบนครพาราณสีไปทั่วทั้ง ๑๒ โยชน์
ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามเขาว่า ชนบทจักพินาศเพื่ออะไร
สุทัสสนะทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาไม่เห็นที่ที่จะหยดพิษนี้
พระราชา เจ้าจงหยดพิษที่แผ่นดินใหญ่เถิด
ลำดับนั้น สุทัสสนะจึงทูลพระราชาว่า อาตมภาพไม่สามารถจะหยดพิษลงบนแผ่นดินใหญ่นั้น มหาบพิตร ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจัดหยดพิษลงบนแผ่นดินไซร้ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ต้นหญ้าลดาวัลย์ และต้นยาทั้งหลาย พึงเหี่ยวแห้งไปโดยไม่ต้องสงสัย
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นท่านจงขว้างขึ้นไปบนอากาศ
สุทัสสนะ เมื่อจะแสดงว่า ถึงในอากาศนั้น ก็ไม่อาจขว้างหยดพิษขึ้นไปได้ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักขว้างพิษขึ้นบนอากาศ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกลงตลอด ๗ ปี
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นพ่อจงหยดพิษลงในน้ำ
สุทัสสนะ จึงกล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจัดหยดพิษลงในน้ำ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า สัตว์น้ำมีประมาณเท่าใด ทั้งปลาและเต่าจะพึงตายหมด
ลำดับนั้นพระราชาตรัสกะท่านว่า ดูก่อนพ่อ ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร ท่านจงช่วยหาอุบายที่จะไม่ให้แคว้นของเราฉิบหายด้วยเถิด
สุทัสสนะทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น มหาบพิตรจงรับสั่งให้คนขุดบ่อ ๓ บ่อ ต่อ ๆ กันไปในที่แห่งนี้ พระราชารับสั่งให้ขุดบ่อแล้ว สุทัสสนะ จึงบรรจุบ่อแรกให้เต็มด้วยยาต่าง ๆ บ่อที่ ๒ ให้บรรจุโคมัย และบ่อที่ ๓ ให้บรรจุยาทิพย์ แล้วจึงใส่หยดพิษลงในบ่อที่ ๑ ขณะนั้นนั่นเองก็เกิดควันไฟลุกขึ้นเป็นเปลวแล้วเลยลามไปจับบ่อโคมัย แล้วลุกลามต่อไปถึงบ่อยาทิพย์ ไหม้ยาทิพย์หมดแล้วจึงดับ
อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อนั้น ลำดับนั้น ไอควันพิษฉาบเอาผิวร่างกายขึ้นไป ได้กลายเป็นขี้เรื้อนด่าง อาลัมพายน์ ตกใจกลัว จึงเปล่งเสียงขึ้น ๓ ครั้งว่า ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ
พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้น จึงออกจากกระโปรงแก้ว นิรมิตอัตภาพอันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ยืนอยู่ด้วยท่าทางเหมือนเทวราช ทั้งสุทัสสนะทั้งอัจจิมุขี ก็มายืนอยู่เหมือนพระโพธิสัตว์นั่นแล
ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลถามพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงรู้จักหรือ ข้าพระองค์ทั้งสามนี้ เป็นลูกใคร
ราชา ดูก่อนพ่อ เราไม่รู้จัก
สุทัสสนะ พระองค์ไม่รู้จักข้าพระองค์ทั้งสามยกไว้ก่อน แต่พระองค์ทรงทราบเรื่องที่ยกนางสมุททชาราชธิดาพระเจ้ากาสีซึ่งพระราชทานแก่ท้าวธตรฐหรือไม่เล่า
ราชา เออ เรารู้ นางสมุททชาเป็นน้องสาวเรา
สุทัสสนะ ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ทั้งสามนี้เป็นลูกของนางสมุททชา พระองค์เป็นพระเจ้าลุงของข้าพระองค์ทั้งสาม
พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ทรงสวมกอดจุมพิตหลานทั้ง ๓ ตน พลางทรงกรรแสงแล้วพาขึ้นปราสาท ทรงทำสักการะเป็นอันมากแล้ว ทรงกระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ดูก่อนภูริทัต พ่อมีฤทธิ์เดชสูงถึงอย่างนี้ ทำไมอาลัมพายน์จึงจับได้ พระภูริทัตนั้นจึงทูลเรื่องนั้นโดยพิสดารแล้ว เมื่อจะถวายโอวาทพระราชา จึงแสดงราชธรรมแก่พระเจ้าลุงโดยนัยมีอาทิว่า ขอพระราชทาน ธรรมเนียมพระราชาควรจะดำรงราชสมบัติโดยทำนองอย่างนี้
ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ยังไม่พบเจ้าภูริทัต ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่ช้าได้
ราชา ดีละพ่อ จงพากันไปก่อนเถิด แต่ว่าลุงอยากจะพบน้องของเราบ้าง ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน
สุทัสสนะ ข้าแต่พระเจ้าลุง พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นพระอัยกาของข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเล่า
ราชา ดูก่อนพ่อ พระเจ้ากาสิกราชนั้นต้องพรากจากน้องสาวของลุงแล้วไม่สามารถจะอยู่เสวยราชสมบัติได้ ได้ละราชสมบัติทรงผนวชเสียแล้วเสด็จไปอยู่ในไพรสณฑ์แห่งโน้น
สุทัสสนะ ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ประสงค์จะพบพระเจ้าลุงและพระอัยกาด้วย ถึงวันโน้น พระองค์จงเสด็จไปยังสำนักพระอัยกา ข้าพระองค์จักพามารดาไปยังอาศรมพระอัยกา พระเจ้าลุงจักได้พบมารดาของข้าพระองค์ในที่นั้นทีเดียว ดังนั้นทั้ง ๓ ตน จึงกำหนดนัดหมายวันแก่พระเจ้าลุงแล้ว ออกจากพระราชนิเวศน์ พระราชาส่งราชภาคิไนยไปแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงแล้วเสด็จกลับ หลานทั้งสามตน ก็แทรกแผ่นดินลงไปนาคพิภพ
จบนาคคเวสนกัณฑ์.
จาก facebook
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น